One day when I was young
Home
This is my stories
My early years
At teens
Undergrad at Kaset
Life in grad school
My career
My tips, your tips
The earth I
The earth II
Challen world
Show & shows
Beneath my wings
Hall of Frames

My early years

ภาพหนึ่งภาพ มีเรื่องเล่าได้มากมาย   จริงไม่จริงเข้ามาอ่านดูครับ

smallping8.jpg
My family

บ้านของเรา
 
ผมเป็นลูกคนเล็ก  พ่อเป็นคนหาเงินเข้าบ้าน ครอบครัวแม่เดิมเปิดโรงเรียนจีน แม่ทิ้งอาชีพครูมาเป็นแม่บ้านดูแลบ้าน และลูกๆ   แม่ผมดูแลงานบ้านทุกอย่าง ยกเว้นทำกับข้าวที่พ่อเป็นคนทำ   งานซักล้าง รีดผ้า ความสะอาดบ้าน ควบคุมดูแลลูกทำการบ้านเป็นส่วนที่แม่รับผิดชอบ  เสื้อผ้าที่เราใส่เป็นฝีมือแม่ตัดเย็บเอง  ดูผมจิ  หล่อตั้งแต่เด็กเลย  หัวผมเรียบแปร้ด้วยไบร์ทครีม   
 
พ่อผมมีฝีมือทางถ่ายรูป  ที่บ้านมีกล้องหลายแบบตั้งแต่ reignfinder ไปจนถึงกล้องเลนซ์คู่  มีห้องมืดสำหรับอัด ขยายรูป   เมื่อพี่สาวผมเกิด พ่อเห่อมาก ถ่ายเก็บรูปลูกไว้ตลอดเป็นระยะ  พวกเราเลยมีรูปตอนเราด็กๆเป็นพันใบ  เพราะที่บ้านล้างฟิล์มเอง อัดรูปเอง  
 
บ้านผมปลุกบนเนื้อที่ 45 ตารางวา  เมื่อผมเป็นเด็ก ผมรู้สึกว่าบ้านผมใหญ่มาก มีที่ให้วิ่งเล่นซุกซนไม่รู้จบ  รั้วสี่ด้านเป็นรั้วต้นพู่ระหง  สี่มุมบ้านปลูกต้นหางนกยูง  ประตูหน้าบ้านผมเป็นซุ้มเฟื่องฟ้าสีชมพูข้างหนึ่งกับสีแดงอีกข้างหนึ่ง เปรียบเสมือนร่มขนาดใหญ่ที่มีดอกดกตลอดทั้งปี  จำได้ว่าในบ้านยังมีต้นหมากอีก 4 ต้น  เวลาที่หมากสุกจะมีคนมาขึ้นตัดหมาก ไม่นั้นเวลาที่ไปเล่นในสนาม ลูกหมากอาจหล่นใส่หัวได้   เวลาที่ใบหมากแห้งหลุดลอกลงมา  ผมกับพี่สาวจะเอามาผลัดกันนั่งแล้วลากเล่น    แม่เป็นคนใจดีกับคนอื่น แต่กับลูกแล้วเข้มงวดมาก  กิ่งพู่ระหงเป็นยุทโธปกรณ์ที่แม่ใช้เสมอเมื่อลูกดื้อ 

smallping2.jpg
First school day

เปิดเรียนวันแรก
 
แม่เก็บผมไว้กับบ้านจนห้าขวบถึงได้พาไปโรงเรียน  เขาให้ผมพาสไปเรียนอนุบาลสองเลยแต่ต้องไปเรียนปรับพื้นฐาน  ก่อนเปิดเรียนไม่นานผมเป็นอีสุกอีใส  หน้าเลยยังเห็นเป็นจุดๆอยู่เลย  ผมได้เลขประจำตัวลำดับที่ 509
 
แม่ต้องไปนั่งเรียนข้างๆผมอยู่ค่อนเทอม  ผมเป็นเด็กนักเรียนที่ได้อภิสิทธิ์พิเศษ  อาจเป็นเพราะพี่สาวผมเรียนเก่ง สอบได้ที่ 1ตลอด เลยแผ่บารมีมาให้ผมด้วย  เทอมแรกผมสอบได้ที่ 25  คุณย่า (ผู้ก่อตั้งโรงเรียน) หัวเราะแล้วบอกว่าสลึงนึงพอดี  ไอ้นี่มันไว้ผมยาวแล้วน่ารักดี ให้ไว้ผมยาวเถอะ ประกาศิตของคุณย่าทำให้ผมเป็นเด็กผู้ชายคนเดียวในโรงเรียนที่ไว้ผมยาวทรงกะลาครอบจนจบชั้นประถม
 
พ่อมีหน้าที่ส่งลูกไปโรงเรียน แม่จะเป็นคนไปรับกลับบ้าน  ยังจำได้่เวลาหน้าฝน พ่อจะเอาถุงพลาสติกขนาดใหญ่มาเจาะแล้วสวมหัวคลุมตัวไว้ให้  ส่วนรองเท้าก็เอาถุงใบเล็กหุ้มรองเท้าให้พร้อมรัดหนังยางไว้ที่ข้อเท้า  เด็กๆอย่างผมไม่ชอบเลย รู้สึกว่าอายเพราะไม่เหมือนคนอื่น  พอไปถึงหน้าโรงเรียนก็ปลดถุงออกให้ ผมก็กลับมาเอี่ยมอ่องเหมือนใหม่ ไม่มีรอยโคลนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ   แปลกนะเด็กๆเราอยากกางร่ม แต่พอผมอายุมากขึ้น ผมกลับใ้ช้เสื้อกันฝนแทนการถือร่ม

dad.jpg
Dad

พ่อ
 
พ่อผมอพยพมาจากเมืองซัวเถา  พอปลดทหารพ่อก็เข้ามาอยู่เมืองไทยมาอยู่แถวขอนแก่นสอนภาษาจีน  ต่อมาย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯมาทำงานให้กับบริษัทประกันภัยเลยได้เจอกับแม่    พ่อแต่งงานกับแม่ด้วยความไม่เห็นชอบของผู้ใหญ่ และออกมาทำอาชีพส่วนตัวรับถ่ายรูป ทำฟิล์มแยกสีสำหรับงานพิมพ์   พ่อมีความสามารถในเชิงช่าง ทั้งเขียนรูป  งานช่างไม้  พ่อลงมือทำประตูบ้าน ลูกกรงระเบียง ช่องลมลวดลายแบบจีนเอง  เมื่อย้ายบ้านผมถอดช่องลมมาด้วย    พ่อมีหน้าที่จ่ายตลาดตอนเช้า และทำกับข้าว   ผมจะไปโรงเรียนสายประจำ เพราะกว่าจะประกอบพิธีกินข้าวเสร็จ  กว่าจะป้อนจนหมดจาน  วิธีที่จะไม่ให้แม่บังคับกินคือต้องร้องแหวะ  แปลว่าถ้ากินเข้าไปอีกจะอ๊วกแล้ว   ตอนเด็กๆผมเป็นคนกินยากมาก และกินแปลกกว่าลูกบ้านอื่น  ผมกินแต่ผัดผักบุ้ง ผัดกะหล่ำปลี  ถ้าเจอเนื้อติดผักมาผมจะเขี่ยออก ผมจะกินแต่หอยขม หอยแครงลวกจิ้มกินกับน้ำพริกศรีราชา   เวลาทำหอยขม พ่อจะเอาคีมตัดหางแล้วลงไปผัดคั่ว  พอจะกินก็เอาไม้จิ้มฟันเขี่ยฝาหอยออกก่อน ดูดแรงๆที่ก้นหอยทีนึง น้ำแกงเค็มๆก็จะไหลเข้าปาก แล้วถึงหันปากหอยมาดูดแรงๆ  ทำอย่างนี้ก็จะได้กินเนื้อหอยขม  หากถึงหน้ามะม่วงออก พ่อจะซื้อมะม่วงสุกมาให้ผมกินกับข้าว  ถ้ามื้อไหนกับข้าวไม่ถูกปาก มื้อนั้นผมจะได้กินข้าวโรยหน้าด้วยลูกเกดเยอะๆ
 

smallping9.jpg
Super MOM

dadsoldier.jpg
During army service

พ่อใจดี ไม่เคยตีลูก  มีผมเท่านั้นที่เคยโดนพ่อฟาดก้นเอาหนนึงเพราะผมไปรื้อของในห้องมืดเล่น ทำให้งานที่พ่อจะเอาไปส่งลูกค้าเสียหาย  พ่อหน้าตาดี ถ้าผมหล่อได้อย่างพ่อนี่คงแฟนตรึมเลย  บังเอิญผมถอดแบบแม่ออกมา แม่บอกว่าสิ่งเดียวที่ผมได้พ่อมาคือ มธุรสวาจาที่ทำให้คนได้ยินต้องอึ้ง   พ่อจากไปอย่างกระทันหันด้วยหัวใจล้มเหลวเมื่อผมอายุ 12 ปี  แม่บอกว่าไม่เคยผิดหวังเลยที่เลือกพ่อเป็นคู่ชีวิต 

สุดยอดคุณแม่
 
เวลาแม่ถามว่ามีการบ้านไหม ผมจะตอบอัตโนมัติว่า ไม่มี  จะอ้อมแอ้มบอกอีกทีว่ามีก็ตอนสองสามทุ่ม และมีหลายวิชาซะด้วย  จะง่วงจะฟุบยังไง แม่ก็จะจับมือผมเขียนไปเรื่อยๆ  เป็นอย่างงี้ทุกวัน    มีใครมีแม่อย่างผมมั่ง  จับมือลูกเขียนหนังสือ คัดลายมือ  มาท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ ราชาศัพท์กับผมทุกวัน  ตรวจการบ้าน  หาแบบฝึกหัดเลขมาให้ทำเพิ่มจากที่ครูให้   ถ้าแม่ไม่ทำอย่างงี้ผมคงเล่นทั้งวัน แล้วก็คงสอบได้ที่ 25 ตลอดไป  ผมกลายเป็นเด็กที่เรียนดีขึ้นตามลำดับ  แม่เลิกจ้ำจี้จ้ำไชเมื่อผมเรียนชั้นมัธยม
 
ตอนเป็นเด็กจะโดนแม่ตีด้วยเหตุไม่กี่อย่าง  คะแนนดิบต่ำกว่าการสอบคราวที่แล้ว!! โอ้ แม่เจ้า   ซนเวลาที่มีแขกมาบ้าน หากแม่ถลึงตาแล้วยังไม่หยุด รอไว้แขกกลับไปก่อน  พูดโกหก  ทำของเสียแล้วไม่บอก  สุดท้ายคือ กินโดยไม่นึกถึงคนอื่น  วิธีการตีของแม่คือใช้มีดฟันกิ่งพู่ระหงมาริดใบ ไม้เรียวอันนึงยาวประมาณเมตรเศษ แล้วก็ตี อย่างน้อยก็โดนกันสี่ห้าทีละครับ  จะออมมือหรือเปล่าผมไม่รู้ รู้แต่เจ็บ แม่จะไม่ตีให้พ่อเห็นเพราะไม่นั้นคงจะมีปากเสียงกัน   จำได้ว่ามีอยู่ครั้งนึงผมสอบวิชาประวัติศาสตร์คะแนนตกจากเทอมก่อน 1 คะแนน โดนครูที่โรงเรียนตีไป 2 ที เพราะครูสั่งไว้แล้วว่าตั้งแต่ก่อนสอบว่าคะแนนตกลงจะโดนตีคะแนนละ 2 ที  กลับมาบ้านยังโดนแม่ตีซ้ำอีก  มันน่าเจ็บใจนักเพราะสอบคราวแรกผมทำได้คะแนนเต็ม สอบคราวต่อมาผมได้คะแนนสูงสุดของห้องแต่ผมยังโดนตี   จะยังไงก็แล้วแต่ ผมได้ดีมาเพียงนี้ เพราะแม่เป็นคนดัด
 
ที่บ้านไม่มีทีวี เพราะแม่ประกาศิตไว้ ไม่ให้ลูกดูทีวี  ผมไม่มีทีวีดูจนผมเข้ามหาวิทยาลัย  เด็กรุ่นเดียวกันบำรุงสมองด้วยหนังเรื่องพิภพมัจจุราช ไอ้มดแดง หุ่นไล่กา  ส่วนความสุขของผมคือ เล่นในห้องมืด เล่นกับต้นไม้ใบหญ้า  แม่ไม่ปล่อยผมออกไปเล่นกับเด็กอื่นนอกบ้านเลยผมชอบไปนั่งเล่นดูพี่ๆเขาทำกิจกรรมกันที่โบสถ์ตลาดพลูที่อยู่ห่างออกไปสองป้ายรถเมล์  เป็นที่เดียวที่แม่ให้ไป ผมเลยโดนจับไปเป็นหมู่นักร้อง เล่นเปียโน พูดหน้าที่ประชุมตั้งแต่สิบขวบ  ที่บ้านผมมีหนังสือให้อ่านเยอะ  รางวัล ของขวัญวันเกิดที่ผมได้รับมักเป็นหนังสือ  เดือนนึงแม่จะพาไปดูหนังที่โรงหนังแถวบ้านทีนึง  บางทีก็ได้ออกไปไกลหน่อยดูที่โรงหนังโอเดียนท์ ไม่ก็โรงหนังฮอลลีวูด ซึ่งเดี๋ยวนี้รื้อไปหมดแล้ว แม่เลือกให้ดูแต่หนังคลาสิก Gone with the wind, Benhur, Around the world in 80 days, Cleopatra, Sound of music, Ten commandments, War and peace   สิ่งที่ผมไม่เห็นในทีวีแลกมาด้วยจำนวนหนังสือที่ผมอ่านจบไปหลายๆพันเล่ม  บางเล่มเป็นหนังสืออ่านประกอบของนิสิตปริญญาตรีภาควิชาปรัชญา ผมอ่านจบไปแล้วตั้งแต่ชั้นประถมทั้งๆที่อ่านรู้บ้างไม่รู้บ้าง!!  แม่สร้างต้นทุนให้ลูกอย่างที่ลูกบ้านอื่นไม่มี
 
เมื่อพ่อจากไป แม่ผมกลับมาเป็นครูสอนภาษาจีนภาคค่ำ  แม่ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่  เป็นภาระที่หนักเพราะลูกสองคนเรียนต่อเนื่องรวดเดียวจนจบปริญญาโท   แม่ถือว่าลูกเป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าประทานให้ ผมไม่เคยได้ยินแม่บ่น ไม่เคยปฏิเสธเมื่อลูกขอ   ทุกคืนจะเห็นแม่คุกเข่าเงียบๆอธิษฐานฝากการดำเนินชีวิตและลูกไว้กับพระเจ้า  เมื่อแม่เกษียณตอนที่พี่สาวผมเรียนจบ แม่บอกว่า ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรให้ นอกจากต้นทุนที่ลงไว้ให้ในตัวลูก

smallping11.jpg
My sisterand me

ผมกับพี่สาว
 
 ผมกับพี่สาวอายุต่างกันสี่ปี  ตอนเด็กๆพี่น้องไม่ค่อยมีปัญหากัน  พี่สาวมักจะช่วยกลบเกลื่อนความผิดให้ ไม่นั้นผมอาจโดนตีมากกว่านี้    เนื่องจากแม่สุขภาพไม่ค่อยดี พอเราโตขึ้นหน่อยพ่อจะให้สตางค์ไว้ขึ้นรถตุ๊กๆกลับบ้านส่วนตอนเช้าพ่อจะไปส่งเอง  ค่ารถตอนนั้นเป็นเงินสามบาท   แต่ผมกับพี่จะเดินกลับบ้านแล้วเก็บเงินสามบาทไว้ซื้อของ  ตอนเด็กผมจะไม่มีเงินติดตัว  ตอนเช้าพ่อจะแวะร้านขนมหน้าปากซอย ซื้อลูกเกดให้กล่องนึง ไม่ก็ช๊อคโกแลต m&m   อยู่โรงเรียนหิวน้ำ จะมีน้ำฝนแช่ในโอ่งดินเคลือบสีเขียว นักเรียนไปตักกินเองได้  แม่ไม่ให้ซื้อขนมที่โรงเรียนกินเพราะกลัวว่าสกปรก  เวลาผมเห็นเพื่อนกินมะขามคลุกที่อยู่ในกล่องกระดาษ กล่องละสลึง  ผมอยากกินมาก  บางทีก็เอาลูกเกดไปแลก  ขนมอีกอย่างที่เด็กๆนิยมกันคือท๊อฟฟี่นม แล้วก็มีขนมอะไรก็ไม่รู้เหนียวๆจะคลุกแป้งแล้วห่อด้วยกระดาษย่นสี  นอกนั้นก็เป็นถั่วตัด  ไอติมหั่นเสียบไม้ ไอติมถั่วแดง   ขนมถุงก๊อบแก๊บสำเร็จแบบเดี๋ยวนี้ยังไม่มี  ที่ชอบกินกันคือไอติมแดง  ดูดน้ำหวานจนหมดถ้าปลายไม้มีจุดสีแดงอยู่ก็ไปแลกได้อีกแท่งนึง   เงินสามบาทที่ออกมกับพี่สาวทุกวันมีความหมายกับผมมาก เพราะผมจะมีเงินไว้แอบกินขนมเองเหมือนเด็กคนอื่นๆ ตัวตุ๊กตุ่นที่ได้แถมมาก็แอบๆไว้ ไม่งั้นแม่จะรู้    พอเก็บหลายบาทหน่อย พี่สาวจะพาผมเข้าร้าน อภิศักดิ์ เพื่อไปเลือกของเล่นไฮเทค  ร้านอภิศักดิ์เป็นร้าน2 คูหา ขายเครื่องเขียนแบบเรียน  ร้านจะมีไม้บรรทัดแบบแปลกๆ เอาไว้ให้เราเขียนลายได้หลายแบบ  ไม่ก็เข้าไปซื้อหนังสือการ์ตูนสีของวอลท์ดีสนีย์  ผมเพิ่งผ่านกลับไปที่บ้านเก่าปีที่แล้ว เห็นร้านอภิศักดิ์ยังอยู่   เมื่อพี่สาวผมจบ ย้ายไปเรียนที่สตรีวิทยา แม่จะฝากคนข้างบ้านรับผมกลับบ้าน  พี่ งอก เรียนที่สตรีวัดอัปสรสวรรค์ จะแวะมารับผมกลับบ้านตอนเย็น  จนผมจบชั้นประถมและพี่งอกลับไปอยู่บ้านที่เมืองกาญจน์   

 อยากจะพูดถึงร้านขายขนมหน้าปากซอยอีกหน่อยหนึ่ง  ร้านนี้เป็นของคนจีน  ในร้านจะมีของกินทุกแบบ มีขนมปังยี่ห้อ เอเอ สมัยนั้นยังไม่มีฟาร์มเฮ้าส์ เนยกระป๋องตราสับปะรด นมข้นหวาน นมผงตราหมี  ลูกเกด วตถุดิบทำเค้ก ผลไม้จากเมืองจีนใส่ไว้ในโหลใหญ่ๆชั่งกิโลขาย  มีขนมปังบิสกิตเป็นปี๊บแบ่งขายด้วย   นอกนั้นก็จะมีสบู่ โลชั่น ขายด้วย  จะมีของกองเต็มร้านและล้นออกมาถึงฟุตบาทด้วย  อ้อหน้าร้านมีตู้แช่ขายน้ำเก็กฮวยและน้ำอัดลมอีกต่างหาก  เวลาผมไปซื้อของจะคอยมองเจ๊เจ้าของร้านชักรอกกระป๋องเพื่อเก็บสตางค์ หรือทอนเงินให้กับลูกค้า มันเป็นกระป๋องนมผงขนาด 2.5 กก.เก่าๆ  อีกปลายของรอกถ่วงไว้ด้วยหม้อแปลงไฟอันเล็กๆ

smallping14.jpg
At new year's party

 วันงานส่งท้ายปีเก่าที่โรงเรียน ผมอยู่ชั้นอนุบาล พี่สาวผมชั้นป3  พี่ที่นั่งตรงกลางชื่อ นิ๊งหน่อง เป็นเพื่อนชั้นเรียนพี่สาวผมเอง  บ้านเราอยู่ใกล้ๆกัน  เด็กๆกำลังรอแม่มารับ   ชุดที่ผมใส่แม่ตัดให้  ตอนเด็กแม่จะตัดเป็นเอี้ยมขาสั้นให้ใส่  มีแบบเดียวแต่เปลี่ยนลายเอา เอี้ยมตัวนี้เท่ห์มาก สีเทา มีลายมดดำตัวเล็ก และมดแดงตัวใหญ่เดินกันขวักไขว่ทั้งตัว 

 ผมกับพี่สาว เราดูยังไงก็หน้าตาไม่เหมือนกัน จมูกผมใหญ่เขาจมูกเล็ก  ผมหูกางเขาหูแนบ  ผมมีโหนกแก้มกว้างเขาไม่มี  ผมหน้ายาวเขาหน้าสั้น เขามีเขี้ยวเสน่ห์โผล่ผมไม่มี ผมไม่รู้ทำไมคนอื่นมักจะบอกว่าพี่น้องหน้าตาเหมือนกัน    โดยนิสัยก็ต่างกัน ลูกคนโตกะลูกคนเล็ก  พี่ผมเป็นคนไบรท์ เรียนหนังสือสอบได้ที่หนึ่งตลอด  เป็นคนนิ่ง ช้าแต่ละเอียดและลึกซึ้งกว่า ยืดหยุ่นน้อย เพื่อนไม่มาก ตรงข้ามกับผมที่รวดเร็ว ใจร้อน ขี้เกียจ พูดเก่ง กล้าแสดงออก มีกิจกรรมหลากหลาย ยืดหยุ่นมาก เพื่อนเยอะ  เมื่อนิสัยต่างกัน ความขัดแย้งก็ตามมาเป็นธรรมดา เพราะถ้าไม่มีความขัดแย้งก็ปัญญาอ่อนทั้งคู่ซิคับ

smallping17.jpg
With my girlfriends

แฟนฉัน

 เด็กๆทุกคนต้องมีคนที่ตัวเองชอบ   ตอนป1 ผมมีแฟนห้าคน  ผมจะพาแฟนมาแนะนำให้แม่รู้จัก  อิอิ ความจริงก็ไม่มีใครเป็นแฟนอะนะ  เพียงแต่เราชอบแล้วก็ทึกทักเอาเอง  ตอนนี้นั่งลำดับดูว่ามีชื่ออะไรมั่ง จำได้ 4 คน  ตริตาภรณ์ ธีรนุช จุฑารัตน์ กลีบแก้ว คนที่จำไม่ได้คือคนที่อยู่ในรูป (ขวามือ) เพื่อนคนที่อยู่ทางซ้ายมือชื่อ ตริตาภรณ์ ศักดิ์ศรี  เป็นคนที่ผมชอบที่สุด แต่ไม่เคยเจอกันอีกเลยตั้งแต่จบแยกย้ายกันไป  "กลีบแก้ว ชูโต" จากไปเมื่อผมอยู่ชั้นม.ศ. 1 ด้วยไข้เลือดออก   ผมได้เจอจุฑารัตน์บ้างเวลาที่ไปเที่ยวเล่นบ้านของ "ศักดิ์ชัย" เพื่อนคนแรกตอนย้ายมาเรียนชั้นมัธยมที่วัดนวลฯ   ธีรนุช ย้ายไปเรียนที่ราชินีตั้งแต่ป 5 มาเจอกันอีกทีตอนเรียนปริญญาโท  ผมว่าโลกมันกลมมากเพราะธีรนุชเป็นเพื่อนสนิทกับเพื่อนที่เรียนโทด้วยกัน   เมื่อผมพลิกดูรูปนี้ ผมอดขำตัวเองไม่ได้  ข้างหลังรูปเขียนด้วยลายมือโย้เย้ของเด็กของป1ว่า "ขอให้มีความสุขจากแฟน" หมายความว่าขอให้แฟนในรูปทั้งสองคนของผมมีความสุข จากผมเอง

 

smallping15.jpg

โรงเรียนของเราน่าอยู่

 ผมนึกถึงเพลงโฆษณา โรงเรียนของเราน่าอยู่  คุณครูใจดีทุกคน เด็กๆก็ไม่ซุกซน พวกเราทุกคนชอบไป ชอบไปโรงเรียน   พอโตขึ้น ผมถามตัวเองว่า ทำไมผมยอมไปโรงเรียนแต่โดยดี ไม่เคยเกี่ยงงอน แต่พอไปถึงผมกลับนั่งร้องไห้เงียบๆเป็นเทอม   ตอนเรียนพิเศษเพื่อปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียน ครูผมชื่อ อำไพวรรณ  ครูเป็นคนผิวสองสี สวยหวานแบบไทยๆ  ครูใจดีพูดเพราะ เวลาที่ผมหัดเขียน ก ไก่ ข ไข่ ถ้าผมทำได้ดี ครูจะให้ผมดูดโอเลี้ยง กาแฟเย็นหนึ่งจิบ  ครูอีกคนนึงชื่อครูจรวย สอนเลข ครูจะทำหน้างวดทั้งวัน ไม่ค่อยยิ้ม พูดห้วนๆดังๆ    พอผมเข้าชั้นอนุบาลผมได้ครู วิลาวรรณ เป็นครูประจำชั้น  ครูดุมาก แล้วก็ตีเก่ง นั่นเป็นเหตุที่ผมไม่อยากเรียน     เวลาผมถูกครูตี ผมจะป่วยเป็นไข้ และทอนซิลอักเสบ หยุดเรียนกันเลย 2 วัน ฟังดูอาจจะเหมือนไม่เกี่ยวกัน  แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าความเครียด ความกลัวทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผมล่ม  แม่ต้องขอร้องครูไม่ให้ตีลูกแต่ให้นั่งคัดลายมือแทน ให้การบ้านเพิ่มจากคนอื่น แต่ก็มีวันที่ครูพลาดเหมือนกัน เป็นที่รู้กันเลยว่า เช้าไหนที่แม่ไปส่งผมแทนพ่อ วันนั้นจะเป็นวันที่เครียดกันตั้งแต่ครูใหญ่ยันครูน้อย   แม่ผมไม่ปฏิเสธที่ครูจะตีลูก แต่ถ้าจะตีให้อธิบายเหตุผลว่าตีเพราะอะไร หากถูกตีโดยไม่รู้สาเหตุแล้ว เด็กจะดื้อไม้เรียวสอนไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมโดนตีน้อยลงไม่รู้ว่าเพราะเรียนดีขึ้น หรือครูกลัวแม่กันแน่  วันนี้ ผมก็รักและกราบขอบคุณครูทุกคนที่ตั้งใจอบรมสั่งสอนผมมาอย่างดี 

 รายชื่อครูประจำชั้น  ตั้งแต่อนุบาลจนจบป7  มีดังนี้ ครูวิลาวรรณ แซ่ลิ้ม, ครูสนาน บุรารักษ์, ครูมาลี, ครูสมจิต สวัสดี, ครูน้อมจิตต์ จารุเรขา, ครูสุนิตย์ จงรักษ์, ครูถนิมนวล น้อยวัฒนะ, ครูชูศรี อ่อนวิเวก และคุณอา ยุพา พิจิตรนรการ เป็นครูใหญ่

 ระบบการเรียนตอนผมเด็กๆครูสามารถตีนักเรียนได้  ไม้เรียวที่ครูใช้มักเป็นบรรทัดไม้ 24 นิ้ว บางทีก็เอาแปรงลบกระดานเคาะหัว  ผมไม่โดนอย่างนั้น   หากนักเรียนคนไหนทำผิดวินัยรุนแรง จะโดนตีหน้าเสาธงตอนเช้า ครูจะใช้กิ่งมะม่วงตี  เวลาลงโทษแบบนั้น เป็นเวลาที่ทั้งคนโดนตีและคนดูอย่างพวกผมอกสั่นขวัญแขวน  ยุทธวิธีอีกแบบหนึ่งที่ครูนิใช้คือหยิกหน้าท้อง  ผมไม่เคยโดน แต่เพื่อนที่ไม่ทำการบ้านมามักจะโดน  เวลาครูหยิก ครูจะบิดที่หนังหน้าท้อง ค่อยๆบิดตามเข็มนาฬิกา เด็กก็จะค่อยๆเขย่งยืดตัวขึ้นตามมือครู  เราก็แอบดูกันอย่างเสียวไส้พร้อมทั้งคิดในใจว่าวันนี้รอดตัวไป  แล้วค่อยสุมหัวดูกันในห้องน้ำว่าหน้าท้องเขียวไปหลายวันเป็นยังไง  วันนี้ ผมเห็นคุณค่าของไม้เรียวที่สร้างคนรุ่นผมให้มีวินัย มีระเบียบในความคิด มีกิริยามารยาท อย่างที่จะไม่ได้เห็นในเด็กรุ่นใหม่อีกต่อไป

 นักเรียนจะถูกฝึกหัดให้มีมารยาทแบบไทยๆ เมื่อเดินผ่านผู้ใหญ่ต้องค้อมตัวลง  หากเจอครูเดินมาก็จะหยุดยืนตรงคำนับ เด็กจะหยุดยืนรอสองข้างบันได เมื่อครูขึ้นหรือลงจนกว่าครูจะพ้นจากบันไดไป หากจะพบครูที่ห้องและครูนั่งอยู่จะคุกเข่า  หากผู้ใหญ่นั่งพื้น เด็กจะคลานเข่าเข้าหา  ลองดูภาพด้านล่างซิครับ แถวนักเรียนเป็นระเบียบ นักเรียนทุกคนยืนเท้าชิดเหมือนกันหมด  อิอิ อานุภาพไม้เรียวแท้ๆเลย

moneyhop1.jpg
Money Hop, 1969 New Year Party

 โรงเรียนพรประสาท ประกอบด้วยอาคารไม้สองชั้นสองหลัง และบ้านไม้หนึ่งหลังที่เราเรียกกันว่าเรือนคุณย่าจะเป็นที่เด็กอนุบาลหนึ่งเรียนและนอน  อาคารหนึ่งเป็นอาคารเรียน ห้องสมุด ห้องประชุมที่เป็นห้องอาหาร อีกอาคารหนึ่งชั้นบนเป็นเรือนนอน ชั้นล่างเป็นห้องเรียนและห้องอาหารของเด็กที่เอาปิ่นโตมาทานเอง  มีเด็กประจำที่กินนอนที่โรงเรียนด้วยประมาณ 20 คน  ชื่อเสียงของคุณย่าสงวน มลิทอง ผู้ก่อตั้งโรงเรียนเป็นที่รู้จักกัน  คนในวงการบันเทิงส่งลูกมาอยู่ประจำกันหลายคน คุณนพพล โกมารชุน ก็เป็นศิษย์เก่าคนนึง   ตอนเด็กๆผมรู้สึกว่าโรงเรียนของเราใหญ่มาก  มีสนามไว้ให้พวกรุ่นโตเตะบอลพลาสติกกัน  พวกเด็กๆอย่างเราจะเล่นจระเข้ว่ายน้ำ เล่นกันได้ทั้งชายหญิง เล่นกระโดดหนังยาง  มีบ้านเด็กเล่นอยู่หลังนึงที่มุมสนามเอาไว้เล่นเป็นบ้านผีสิง  ที่ขอบสนามมีชิงช้าสนาม 2 ตัวไว้โล้เล่นเป็นรถเมล์ แกว่งกันที พวกเด็กผู้หญิงก็ร้องกรี๊ดๆกัน  มีบาร์คู่ให้เด็กผู้ชายโหนแกว่งกัน 2 อัน  ที่ใกล้ๆบาร์คู่จะมีแทงค์สังกะสีรองน้ำฝน  ก๊อกจะรั่วให้น้ำหยดจนดินเปียกชุ่ม  เราจะเอาฉลุมาเดาะโยนให้ปักดินด้วยท่าต่างๆ   ส่วนพวกเด็กผู้หญิงจะกระโดต้องเตอยู่ไม่ไกลตามลายคาดเชือกบนพื้นซีเมนต์   หน้าเรือนคุณย่าเป็นเทอเรซหินขัด  เวลาจะขึ้นไปต้องถอดรองเท้า เป็นที่เด็กผู้หญิงจะไปนั่งเล่นหมากเก็บ  ใกล้ๆทางออกประตูหน้าเป็นลาน  มีไม้ซุ้มระแนงต้นกระดังงา ทำให้ทั้งลานร่ม  มีชิงช้าให้เล่น 5ตัว  เราจะแกว่งกันจนสูง  บางคนอาจยืนขึ้นมาแกว่ง  ถ้าครูมาเห็นเข้าจะเรียกลงมา แล้วก็ตีกันตรงนั้นเลย  ใกล้ๆกับลานชิงช้า จะมีศาลากับโต๊ะตีปิงปอง  ตอนเย็นเก้าอี้ยาวในศาลาจะมีกระเป๋านักเรียนมาวางกันเบียดแน่นไปหมด  ส่วนเด็กจะไปเล่นกัน  พอลำโพงประกาศชื่อว่าผู้ปกครองมารับแล้ว เด็กๆจะวิ่งกันเหงื่อซ่กมาคว้ากระเป๋ากลับไป พร้อมทั้งลืมปิ่นโตกลับบ้าน   ตอนกลางวันเด็กๆจะเล่นกันในร่มไม้ ทุกที่จะเต็มไปหมด แม้กระทั่งตามชายคาหน้าห้องเรียน  สนามจะคึกคักมากในตอนเย็น

 

โรงเรียนจะจัดอาหารกลางวันไว้ให้  อาหารจะใส่ในถาดหลุมอลูมิเนียม  มีเวลาพักสิบโมงเช้ากับบ่ายสามโมงให้กินของว่าง  ของว่างมักเป็นกล้วยหนึ่งลูก ส้ม ไม่ก็นมข้นหวานละลายน้ำ  เด็กๆทุกชั้นจะเข้าแถวมานั่งเรียงเป็นระเบียบ รอจนทั้งห้องพร้อมครบทุกคน และเมื่อครูบอกว่าทานได้จึงพนมมือพูด ขอบคุณครับ (ค่ะ) คุณครู   ที่บ้านจัดปิ่นโตให้ผมกับพี่สาวกินด้วยกัน  ปิ่นโตของผมเป็นอะลูมิเนียมมีสี่ชั้น  ของ พี่ อุ๊พี่ อัวะ เพื่อนพี่สาว กับ ตั๋น เพื่อนผม เป็นปิ่นโตเคลือบ  อาหารของผมเป็นกับข้าวครอบครัวคนจีน  แต่ผมจะมองกับข้าวบ้านพี่อัวะด้วยความทึ่ง  ไข่ตุ๋นของที่บ้านผมทำไมมันแข็งและแห้ง ตัดมาเป็นก้อน  แต่ไข่ตุ๋นบ้านพี่อัวะมีไข่ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ข้างใต้น้ำแกง  บางวันพี่อัวะจะมีกบผัดเผ็ดบ้าง มีแกงเขียวหวานบ้าง ซึ่งผมไม่เคยเห็น  ปิ่นโตบ้านของ แดง ก็มีอะไรที่สร้างความประหลาดใจให้ผมเหมือนกัน  บางวันก็มีห่อหมก บางวันมีทอดมัน ไม่ก็เป็นแพนง   แม่จะจัดกับข้าวมาให้ ไข่ตุ๋นของที่บ้านค่อนข้างแงเพราะพ่ออัดทั้งหมูสับ ทั้งไข่ลงไปสองฟอง  ของโปรดผมคือหมูหวาน เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมยอมกินเนื้อสัตว์  หมูต้องเป็นหมูไม่ติดมัน ย้อมซีอิ้วจนแดงเข้ม  ใส่น้ำตาลจนเคี่ยวแล้วหนืด  บางวันแม่จะทำของว่างใส่มาให้ต่างหาก จะเป็นมะเขือเทศลูกใหญ่ เป็นกลีบๆเหมือนฟักทอง แม่จะเอาน้ำร้อนลวกก่อน แล้วลอกเปลือกออก  เอาน้ำตาลกับเกลือนิดหน่อยโรยมา กินแล้วจะหวานๆเค็มๆ  บางทีก็จะมีไข่หวานต้มน้ำตาล  ถ้าเป็นพ่อต้ม พ่อจะเอาไข่ต้มสุกปอกเปลือกไปต้มในน้ำชาจีนอีกทีหนึ่งจนได้ไข่ขาวสีชา  เวลากินก็แช่มาในน้ำชาใส่น้ำตาล  พอพี่ผมไปเรียนที่อื่น พ่อจะเอาปิ่นโตมาเลื่อยขาออกเหลืออันเล็กๆ สองชั้นให้ผมหิ้ว  เมื่อผมเรียนป6  ผมขอแม่ไม่เอาข้าวไปโรงเรียน เพราะขี้เกียจหิ้วปิ่นโตที่มักลืมเอากลับบ้านประจำ  พอดีปีนั้นโรงเรียนยอมให้ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดเอาก๋วยเตี๋ยวเข้ามาส่งได้ ก๋วยเตี๋ยวชามละสองบาท  อาม่าที่เข้ามารับออร์เดอร์จะเก็บเงินก่อนพร้อมทั้งจำถูกจำผิดกลับไปให้ที่บ้านทำมา บางทีก็ต้องรอแล้ว รออีกจนเกือบจะเข้าเรียนก๋วยเตี๋ยวก็ยังไม่มา ถ้าวันไหนอยากกินข้าวมันไก่ก็จะฝากพี่ชายเพื่อนที่เอาข้าวมาส่งซื้อให้ วันรุ่งขึ้นก็จะได้กิน

 ที่หน้าโรงเรียน จะมีบอร์ดติดรูปพร้อมชื่อของนักเรียนตัวอย่างที่สอบได้ที่หนึ่ง  พี่สาวผมมีรูปติดอยู่ข้างหน้าตลอด 6 ปีที่เรียน เขาได้พาสชั้นเรียนสองครั้ง  ส่วนผมไม่เคยมีรูปติดเลย

smallping12.jpg
Grade1 performing as butterfly

 

ที่โรงเรียนจะสอนให้เด็กมีความรับผิดชอบ  ทุกเดือนจะมีเด็กผลัดเปลี่ยนเวรกันเป็นสารวัตร  วันไหนต้องรับหน้าที่ จะต้องไปโรงเรียนแต่เช้าเพื่อไปติดปลอกแขน สว. สีน้ำเงิน หน้าที่ของสว.ตอนเช้าคือสวัสดีผู้ปกครองที่มาส่งลูก แล้วรับกระเป๋าจากผู้ปกครองจูงน้องเข้ามาส่งข้างใน  น้องก็จะยกมือไว้ทักทายและไหว้ขอบคุณ  และจะมาปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิมคือนำน้องออกไปส่งผู้ปกครองตอนเย็น  พอกลางวัน สารวัตรมีหน้าที่ช่วยครูสอดส่อง จัดระเบียบ ตักเตือนและลงโทษเหมือนเป็นเทศกิจ  หากมีโครทำผิด เช่นทิ้งขยะผิดที่ เล่นผาดโผน หรือมีคนมาแจ้งความ สารวัตรจะมีอำนาจลงโทษให้ไปนั่งพนมมือจนกว่าจะได้รับอนุญาตให้ลุกไปได้  แน่นอน ที่จะมีปรากฏการณ์นักโทษแหกคุก เด็กจะแอบลุกหนีไป  ก็เป็นหน้าที่ของสารวัตรจะระดมกันไปจับผู้ร้าย  ที่ซ่อนก็คงหนีไม่พ้นห้องน้ำ  หน้าที่อีกอย่างของสารวัตร คือเฝ้าเด็กอนุบาลนอนตอนเที่ยง ผมสงสัยจริงๆว่าทำไมต้องบังคับนอนกันด้วย  ผมไม่เคยหลับเที่ยงเลย เสียงจากสนามนอกห้องดังเข้ามาเรียกร้องให้เราอยากออกไปตลอดเวลา ผมจะแอบหยีตาดูเพื่อนๆมากกว่า ถ้าสารวัตรเดินมาใกล้ก็หลับตา  คู่ไหนแอบคุยกันจะโดนสารวัตรตีเอา  เด็กนักเรียนชั้นป5-7 ต้องทำหน้าที่นี้ทุกคน  โดยนักเรียนชั้นป7 จะเป็นหัวหน้าสารวัตร 

 

ทุกเช้า นอกจากการร้องเพลง เคารพธงชาติและสวดมนตร์แล้ว  เด็กๆยังต้องท่องสุขบัญญัติสิบประการ   เราจะเข้าแถวกันที่สนาม ยกเว้นวันที่ฝนตกจะยืนหน้าห้องเรียน สำหรับวันศุกร์จะเป็นวันที่สวดมนตร์ยาวหลายบท  จะมีต้นเสียง  ผมเป็นต้นเสียงสวดมนตร์เมื่ออยู่ชั้น ป7  เขาจัดที่ให้ต้นเสียงยืนบนเก้าอี้ที่ตั้งบนโต๊ะอีกทีนึง  ทุกวันพฤหัสสุดท้ายของเดือนที่ถือว่าเป็นวันครู นอกจากการสวดมนตร์ยาวแล้ว เรายังต้องสวดบท "ปาเจรา จริยา โหนติ"  หลังจากนั้นก็จะมีรำวง  โรงเรียนจะยกโต๊ะอาหารออกชิดฝาผนังเพื่อให้มีที่ว่าง  ครูจะขีดเส้นเส้นชอล์คเป็นวงกลมใหญ่ โดยจะให้เด็กนักเรียนชายคนนึงก้มลงถือชอล์คเตรียมขีดพื้น แล้วครูจะไปยึดเข็มขัดจากข้างหลังลากไปรอบๆห้อง  ครูจะเรียกนักเรียนออกมารำวงมาตรฐาน  เริ่มจากรุ่นพี่ก่อน  น้องๆที่ยังรำไม่เป็นก็จะนั่งดูไปก่อน  แน่นอน เด็กๆก็จะแอบหลบหลังเพื่อนบ้าง ไม่ยอมสบตาครูบ้าง ความแฮดของผมจะโดนคุณอาเรียกออกไปทุกครั้ง  เด็กผู้ชายจะไปโค้งเด็กผู้หญิงมารำด้วยกัน ซึ่งก็แน่นอน ผมต้องไปโค้งบรรดาแฟนฉันมารำด้วย   ส่วนข้างในวง คุณอาและครูอื่นๆจะช่วยกันรำเพื่อเป็นตัวอย่างด้วย  บางทีครูก็จะมาโค้งและรำกับนักเรียน   ผมจะชอบวันพฤหัสเป็นพิเศษ เพราะสองชั่วโมงแรกไม่ต้องเรียนครับ   นับว่าโรงเรียนก่อนนี้มีวิธีการรักษาวัฒนธรรมไทยอย่างแยบยลทีเดียว พร้อมทั้งส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออก   อีกวิชาที่ผมชอบคือขับร้อง  ผมจะได้เรียนขับร้องสัปดาห์ละครั้ง  คุณอาจะเป็นคนสอนเอง  ผมต้องเรียนทั้งเพลงไทยเดิม และเพลงไทยสากล เรียนกันตั้งแต่ป5 เลย เพลงแรกที่เรียนคือ ลาวดวงเดือน  คุณอาจะเข้ามาต่อเพลงให้ทีละเพลง หัดร้องกันทีละประโยค จำได้มั่งไม่ได้มั่ง เพื่อนๆก็ต้องช่วยกันจำคนละประโยคสองประโยค   หากคราวต่อไปจำไม่ได้ก็โดนดุกันถ้วนหน้า  เมื่อร้องได้แล้ว คุณอาจะช่วยเกลาการเอื้อนให้เป็นจุดๆไป    ในสามปีสุดท้ายเราจะร้องเพลงกันได้ 30 เพลง  เพลงที่หัดร้องกันได้แก่ ลาวคำหอม ลาวดำเนินทราย ลาวเจริญศรี เขมรไทรโยค ต้นตระกูลไทย ยามเย็น สายฝน ใกล้รุ่ง เป็นต้น  เราจะทำสมุดเพลงกัน จดเนื้อเพลง เขียนรูปประกอบ หรือตัดรูปมาแปะ  เพราะนอกจากคะแนนสอบร้องแล้วยังมีคะแนนสมุดเพลงอีกด้วย  เวลาเรียนขับร้อง เราจะไปเรียนกันในห้องสมุด นั่งพับเพียบต่อเพลงกัน  วันที่สอบเหมือนสอบ performance test เลย  คือให้สอบเดี่ยวทีละคนหน้าชั้นเรียน  เด็กๆผมเสียงหวานใส เลยได้เป็นต้นเสียงสวดมนตร์

smallping16.jpg

singingcontest.jpg
Singing contest, 1970

 

ทุกปีใหม่ โรงเรียนจะจัดงานปีใหม่ให้นักเรียนได้สนุกสนานกัน  เมื่อเปิดเทอมภาคปลาย โรงเรียนจะคัดตัวเด็กเพื่อขึ้นเวทีแสดง  จะมีการแสดงหลายชุด  เมื่อผมอยู่ป1 เขาคัดผมไปรำผีเสื้อคู่กับแผนผม  ในระบำผีเสื้อจะมีผีเสื้อสองคู่ ต้นไม้สองต้น แล้วก็นกสามคู่  ผมดีใจที่ไม่ต้องเล่นเป็นก้อนหิน  ชุดผีเสื้อของผมสีส้มอ่อน ผมมีปีกสีเหลือง ใช้กระดาษเงินกระดาษทองกุ๊นเป็นลาย  มีที่คาดผมเพชรเป็นหนวดด้วย  ส่วนชุดนกเป็นสีเทา มีสวมหัวนก  ต้นไม้เป็นชุดสีเขียวสด คาดผมด้วยดอกกุหลาบ  ทั้งท่าทางและแววตาของผมแสดงออกถึงความตั้งใจเต็มที่ และที่สำคัญคือได้รำคู่กับคนที่ผมชอบ  เมื่อปีใหม่ผ่านไป โรงเรียนพาชุดผีเสื้อไปออกรายการทีวีช่องสี่ บางขุนพรหม  ตอนนั้นยังเป็นทีวีขาวดำอยู่  ผมจำไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนถ่ายทอดไม่นานผมร้องไห้ (อีกแล้ว) จนสีที่เขียนขอบตาไว้เลอะหมด ครูต้องจับมาเขียนใหม่   

 ผมได้เลือกไปเต้นมันนี่ฮอป (money hop) อีกทีหนึ่งตอนป 5  ได้ของขวัญตอบแทนมาเป็นรถจิ๊บเด็กเล่น  เพื่อนที่เต้นคู่กับผมตอนนั้นคือ แพทย์หญิงชลีวรรณ พุฒิพัฒนา   คู่ข้างหลังผมคือเพื่อนชื่อ ป๋อง กับพี่ พัชรินทร์ ชั้นป6 พี่เขาสวยถูกใจผมนะ    เมื่อผมเรียนป6 ครูก็คัดให้ไปประกวดร้องเพลง ผมร้องเพลง เจ้าไม่มีศาล เพลงในภาพยนตร์เรื่อง จุฬาตรีคูณ  ได้รองชนะเลิศมาครับ  ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครร้องชนะเลิศตอนนั้น คิดว่าคนร้องชนะเลิศร้องเพลงลูกทุ่ง  เป็นหนแรกที่ผมร้องเพลงหน้าชุมชนที่มีคนฟัง200 กว่าคน  ผมสั่นพั่บๆเลย  อยากรู้ว่าผมตื่นเต้นแค่ไหนลองหาดูในรูป จะเห็นมือที่บีบและคลายตอนร้องเพลง

 

smallping18.jpg
Grade10 students lined in the first row

wearingglasses.jpg
Wearing glasses at grade 11

 

เพื่อนๆของผม

 ข้างบนเป็นรูปตอนปีใหม่ครับ ผมอยู่ชั้นป5  (จากซ้ายไปขวา) เชาวลิต, วีรสิทธิ์ ?, ผมเอง, ชมรม, มาลี, นันทกา (หัวหน้าห้อง), ชลีวรรณ, สุวิมล   ผมยังจำวันเก่าๆของเราได้ดี  มีทั้งหัวเราะสนุกสนาน ต่อสู้ แกล้งกัน ขี้โกง  ครบรสเลย ยังรู้สึกเหมือนกับเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

เมื่อปิดเทอมใหญ่จะขึ้นชั้นป.5  ผมปวดหัวทุกเช้าสิบโมงถึงบ่าย  เวลาผมปวดหัวผมจะนอนเอาผ้าขนหนูปิดตาไว้ เป็นอย่างนี้อยู่อาทิตย์หนึ่ง แม่จึงพาไปหาหมอที่ศิริราช  หมอบอกว่าให้ไปตัดแว่น   ผมไปหาน้าชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องแม่ที่แผนกแว่น ห้องศรีทองพาณิชย์  สายตาผมสั้น +1.5  แว่นอันแรกของผมเป็นกรอบด   ผมเป็นคนแรกในห้องที่ใส่แว่น เลยกลายเป็นของเล่นแปลกใหม่สำหรับเพื่อนทุกคนที่มารุมกันเล่นแกล้ง  เกือบทุกวัน แดง (บุณยรัตน เพ็ชรฉาย) รุต (วิศรุต แสงเอม) และ ธนศักดิ์ (ห้องผมมีธนศักดิ์สองคน คนนึงคือจอย อีกคนนึงที่ผมกำลังเล่าถึงนี้ผมจำชื่อเล่นไม่ได้) จะให้ผมถอดแว่น แล้วจะชูนิ้วให้ดูถามผมว่ากี่นิ้ว  บางทีก็จะเอาหนังสือมาให้อ่าน ถ้าอ่านออกก็จะขยับถอยออกไปอีก  เพื่อนบางคนที่เฮี้ยวๆอย่าง ตั้ม หรือ เศรษฐา สุนทรฐิติ, อู๋ (กิติชัย สุรทิณฑ์), กิต (กฤษณ์ กิวานนท์)  ชอบถอดแว่นผมแล้ววิ่งหนี ทำให้ผมต้องวิ่งไล่ตามเอาแว่นคืน     ทรงศิริ โควินท์ เพื่อนอีกคนนึงมาใส่แว่นตอนเรียนชั้นป.7  แต่ตอนนั้นเพื่อนเลิกเห่อแล้ว เลยไม่โดนใครแกล้ง   รูปทางขวามือ เห็นตั้มยืนจับกระเป๋าเสื้ออยู่  ส่วนป๋องยืนอีกด้านหนึ่ง  ที่เห็นแขนเสื้อขอบรูปเป็นใครไม่ได้นอกจากแดง

 

ในบรรดาเพื่อนเรียนหนังสือ แดงเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด แล้วก็รุต  ทั้งสองคนสอบเข้าสวนกุหลาบได้  เมื่อแยกย้ายกันไปเรียนชั้นมัธยม ผมยังติดต่อแดงเป็นระยะ เพราะเราทั้งคู่ชอบอ่านหนังสือ  บ้านแดงก็มีหนังสือเยอะ เพราะอาเป็นนักกฎหมาย  ผมจะไปนั่งคุยที่บ้านแดงวันเสาร์อาทิตย์ แล้วก็ยืมหนังสือกลับมา  อย่างถกเขมร ของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช  เราคุยกันถูกคอทีเดียวในเรื่องของประวัติศาสตร์และศิลปะไทย  เขาจุดประกายให้ผมสนใจในรูปทรงสถาปัตยกรรมไทย  บ้านของแดงอยู่ริมคลอง  เป็นบ้านทรงไทย  ที่ยกพื้นด้านหนึ่งบนบ้านมีโลงลายทองตั้งไว้ แดงบอกว่าเห็นตั้งแต่เด็กแล้ว ย่าอยู่ข้างใน ไม่ได้เผา สำหรับเด็กอย่างผมเฉยๆ เพราะไม่ใช่คนกลัวผี  ครั้งสุดท้ายที่ผมไปบ้านแดงผมอยู่ชั้นม.ศ.3  หมาที่ผูกไว้หลุดและฝังเขี้ยวไว้ที่เท้าขวาผม เย็บไปสามเข็ม ทำให้ผมเดินไม่กะเผลกเป็นเดือน   ผมไม่กล้าไปบ้านแดงอีกและทำให้ผมกลัวหมามาตั้งแต่ครั้งนั้น  แดงกับผมได้เจอกันตอนผมข้ามมาเรียนโทที่จุฬา  แดงเรียนบัญชี คณะเราอยู่ติดกันแต่เวลาของเราไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่  ผมยังมีรูปที่ถ่ายด้วยกันตอนผมจบโท   ส่วนรุตเราเจอกันอีกทีตอนเขามาเรียนเศรษฐศาสตร์ที่เกษตร  ตอนรับปริญญายังถ่ายรูปด้วยกัน 

smallping21.jpg
Pod and I

 

ทรงศิริ มาเรียนที่พรประสาทตอนป.3  เป็นเพื่อนอีกคนนึงที่เพื่อนๆชอบล้อว่าผมกับเขาเป็นแฟนกัน  ครูจับเราคู่กันตอนเต้นมันนี่ฮอป และตอนประกวดแต่งกาย  พี่สาวของทรงศิริเป็นเพื่อนชั้นเดียวกับพี่สาวของผมด้วย   จุฑารัตน์เป็นเพื่อนที่โดนล้อว่าเป็นแฟนกับแดง  ก่อนนี้เวลาล้อกันนี่ ผู้หญิงจะอายจนหน้าแดงแล้วก็โกรธกันไปหลายวันเลย   เพื่อนที่ตัวโตๆ อ้วนๆอย่างรุต, กฤษณ์ จะเป็นที่เกรงกลัวของเพื่อนๆเพราะตัวหนัก มือหนัก  เวลาเล่นจระเข้โดนแปะทีนึงจะแดงไปทั้งหลัง  เวลาเล่นกระต่ายขาเดียวกระโดมาทีตัวเล็กๆอย่างผมกับแดงจะหนีกันหัวซุกหัวซุน  ความที่ตัวใหญ่สองคนนี้เลยได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้า  เชาวลิต วุฒิปวัฒน์ เป็นเพื่อนที่ขี้เล่นซุกซนอีกคนนึงที่ผมจำได้  ภาพที่ผมเห็นจนชินตาคือเหงื่อซ่ก เสื้อผ้าเขาหลุดลุ่ย เล็บดำ ขี้ไคลเต็มกกหู  แล้วก็โดนบิดเอวเพราะไม่ทำการบ้าน

 

นันทกา ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนให้เป็นหัวหน้าห้องเมื่อตอนผมอยู่ป.7  เป็นหัวหน้าที่ดุ  ชอบพูดไปค้อนไป  เป็นคนเรียบร้อยแบบพี่สาวคนโต ขยัน  แต่ปากไว เสียงดังและหยิกเจ็บ    กลุ่มของนันทกามีมาลี สุวิมล สมนึก และชลีวรรณ   บ้านสมนึกเป็นเขียงหมูเจ้าของตลาดใกล้ๆบ้านผม  บ้านของมาลีอยู่ตรงข้ามโรงเรียน  ชลีวรรณเรียนหนังสือเก่ง สอบได้ที่หนึ่งตลอด  ชลีวรรณสอบเข้าที่สตรีวิทยา และจบแพทย์จากศิริราช  ตอนประถมปลายพบว่าเด็กผู้หญิงจะโตเร็วกว่าเด็กผู้ชาย เพียงแต่แก็งค์ของนันทกาเป็นไซส์ขนาดพิเศษ เมื่อเทียบกับ ปุ๊ก จุฑารัตน์ ธีรนุช ทรงศิริ พวกนี้ตัวเล็กๆ เสียงค่อยๆ

 

ในห้องเราจะมีเพื่อนบางคนเป็นเด็กประจำ  เช่น ลิน (ไพลิน ภูวสวัสดิ์), ป๋อง (เผดิมศักดิ์ เรืองรังษี), จอย (ธนศักดิ์)  ลายมือของไพลินจะยุกยิกมากแบบที่คุณย่าเรียกว่าไก่เขี่ย  ลินเป็นคนร่างเล็กพูดมาก คุยทั้งวัน  พี่ชายเขาเป็นเพื่อนับพี่สาวผม    ป๋องเข้ามาทีหลังตอนป.5 เริ่มเป็นหนุ่มแล้ว มีไรหนวด เป็นคนพูดน้อย  รูปหล่อ เวลาเด็กผู้หญิงจะออกอาการเขินอายเวลาคุยกับป๋อง ลองดูรูปป๋องที่เต้นมันนี่ฮอปเป็นคู่สุดท้ายกับชลีวรรณ  ส่วนจอย จะมีหน้าออกฝรั่ง ผมทอง  จอยมีพี่คนหนึ่งก็หน้าออกฝรั่ง ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว  เพื่อนๆชอบเรียกจอยว่าฝรั่งขี้นก  หากของหาย ให้แอบไปรื้อกระเป๋า แล้วจะได้ของคืน  ตัวโกงอีกคนหนึ่งคือ ป๊อด (พัฒนา)  ป๊อดกับผมเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ดูรูปที่เราถ่ายคู่กันซิครับปีที่ผมรำเป็นผีเสื้อ เขารำเป็นนก  สังเกตมือผมนะครับ สงสัยว่ายังอินกับบทมาก ป๊อดย้ายไปเรียนวชิราวุธวิทยาลัยตอนป.3  มาเจอกันอีกทีก็ตอนที่เห็นข่าวว่าเป็นสจ๊วตการบินไทยในหนังสือพิมพ์

 

หากผมจะไม่พูดถึงคนอีกสามคน ผมคงพูดถึงเพื่อนได้ไม่ครบอรรถรส  คนแรกผมให้เกียรติผู้หญิงก่อน ชื่อ อรชรครับ เรียนอนุบาลถึงป.3 ด้วยกัน   อรชรเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ดำๆ รูปร่างอวบแน่น ผมหยิกทั้งหัว  เพื่อนๆเรียกเธอว่า โรดั๊ก  จากทีวีเรื่องอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเรียกตามทรงผมและเป็นตัวโกง  อรชรเป็นเด็กดื้อไม่เรียว โดนครูตีบ่อยมากเพราะไม่ทำการบ้านบ้าง ไม่เอาหนังสือมาบ้าง  วีรกรรมที่ผมจำได้แม่นคือตอนเรียนอนุบาล เวลาเป็นหวัด เธอจะเอาน้ำมูกใสๆมาเล่น ค่อยๆละเลงจนเยิ้มไปทั้งหน้าดำๆ  กลิ่นน้ำมูกเหม็นคลุ้งทั้งห้องเลย   เพื่อนอีกคนคือ ธนศักดิ์ ที่จำนามสกุลไม่ได้   แม่ของธนศักดิ์จะแต่งตัวงดงามเป็นสาวออฟฟิศงดงามมาส่งธนศักดิ์กับพี่สาวตอนเช้า  ธนศักดิ์ชอบเล่นอะไรที่รุนแรง  แดงมักตกเป็นเป้าให้แกล้งอยู่เรื่อย  เช่นเป็นเป้าซ้อมคาราเต้  เป็นเป้านิ่งให้เอาสว่านฉลุไม้แทงเฉียดใบหน้า  ผมจะเห็นธนศักดิ์แกล้งแดงเป็นประจำ แต่เพื่อนผมก็สู้ยิบตา  ธนศักดิ์จัดเป็นเด็กซน ชอบโหนบาร์ ผมจำได้ว่ามือเขาสากและลอก  ธนศักดิ์จะมีคิวบู๊มาซ้อมกับแดงทุกวัน  เป็นท่าไม้ตายที่ดูมาจากทีวี  แต่เวลาธนศักดิ์มีเรื่องกับตัวโตๆอย่างกิต  คิวบู๊ของเขาไม่เคยได้ผล มีแต่น้ำตาทุกที  มีอยู่หนนึงที่ธนศักดิ์มาเล่าเรื่องให้ฟังว่าแอบดูหนังแปดมิลล์มา  ก่อนนี้หนังโป๊จะเป็นหนังที่ฉายจากฟิล์มขนาด 8 มม. ในขณะที่หนังที่โรงภาพยนตร์เป็นฟิล์ม 16 มม.  เขาพยายามอธิบายว่าเห็นอวัยวะขนาดเท่าไหน ผมกับแดงหาว่าเขาโม้ โกหก  ทำเอาเวลาเข้าห้องน้ำ เด็กๆอย่างผมอดเก็บเอาไปคิดไม่ได้ว่ามันเป็นไปได้ยังไง  ตอนนี้คิดแล้วขำจริงๆ เพราะเด็กเล็กๆอย่างพวกเราตอนนั้นฮอร์โมนเพศยังไม่ทำงานแน่นอน ยังไม่มีไรหนวดโผล่ให้เห็นเลย    คนสุดท้าย วิลาส แซ่ลี้  บ้านของวิลาสอยู่ข้างโรงเรียน แต่มาสายทุกวัน เป็นลูกคนสุดท้อง ตัวโต มือหนัก เส้นลายมือเยอะมาก  เป็นคนที่เงียบมาก ผมไม่แน่ใจว่าเขาไม่ค่อยพูดเพราะพูดไม่ชัดแบบลิ้นคนจีนหรือเปล่า ทำให้พัฒนาการทางการเรียนของเขาช้า สอบได้เป็นลำดับท้ายๆ  หน้าที่เรียบเฉย ดูเนือยๆ เหมือนตามความคิดไม่ทัน ทำให้เพื่อนๆชอบล้อเลียนและแกล้งดึงสมุดบ้าง ดินสอบ้าง  ผมชอบแอบจิ้มเอวเขา แต่ต้องหลบให้ทัน เพราะมือที่เหวี่ยงมาแรงมาก  ถ้าหนไหนหลบไม่ทันก็ดาวระยิบระยับ  ผมอยากรู้จังว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง เพราะเราไม่เจอกันอีกตั้งแต่แยกย้ายกันไป

 

การทะเลาะเบาะแว้งกันของเด็กเป็นเรื่องธรรมดา เพราะจะมีเพื่อนที่มือบอนชอบแกล้งกันเสมอ  ยางลบที่เป็นที่นิยมกันก่อนนี้คือยางลบซิปซี  เป็นยางลบก้อนสี่เหลี่ยมแบนๆสีขาวพิมพ์การ์ตูนไว้ที่ด้านหน้า  ส่วนบนของยางลบจะเป็นเนื้อยางใสๆสีเขียว มีกลิ่นหอม มักจะมีเพื่อนมือบอน โดยเฉพาะ ธนศักดิ์ และ เศรษฐา จะใช้ดินสอปลายแหลมขุดและลอกเอาลายการ์ตูนออกแล้วเอาแอบเอามาวางคืน  เจ้าของก็จะน้ำตาซึมกันเลยแหละ  หากสืบรู้ว่าใครก็จะแก้เผ็ดเอาคืน  แอบใช้ไม้บรรทัดเลื่อยยางลบเขาเป็นสองท่อน   ก่อนนี้เวลาไปโรงเรียน ผมจะแอบเอาไม้บรรทัดฟุตเหล็กไปด้วย  ปกติเวลาทะเลาะกัน เรามักจะเอาไม้บรรทัดของเพื่อนมาฟันเล่นจนเป็นบั้งๆ จนขีดเส้นไม่ได้   ใครมาแกล้งผม พอพักเที่ยง ผมจะได้เอาฟุตเหล็กออกมาฟันไม้บันทัดเพื่อนเป็นการเอาคืน

 

เมื่อเราเป็นเด็ก โรงเรียนให้ใช้ดินสอ เขียนหนังสือเต็มบันทัด พอเราขึ้นชั้นป.5  โรงเรียนให้เราใช้ปากกาจุ่มหมึก  ใช้หัวเบอร์ห้าสำหรับเขียนภาษาไทย และหัวคอแร้งสำหรับเขียนภาษาอังกฤษ  และเขียนครึ่งบรรทัดปากกาเขียน   ปากกากลายเป็นอาวุธที่พวกเราใช้ห้ำหั่นกัน เอาปากกาจิ้มกันมั่ง  บางทีก็สลัดหมึกใส่กันเห็นจุดเป็นทางบนเสื้อ หัวหูเลอะหมด  ใครสลัดก่อนก็โดนเอาคืน  หมึกที่เราใช้มีทั้งหมึกน้ำเงินและหมึกแดง  หมึกน้ำเงินไว้เขียนทั่วไป ส่วนหมึกแดงไว้ขีดเส้นใต้ และแก้คำผิด  พอชั้น ป.7 โรงเรียนจะอนุญาตให้นักเรียนใช้ปากกาหมึกซึมได้ แต่ห้ามใช้ปากกาลูกลื่น  เราก็เลยยังสลัดหมึกใส่กันได้อยู่จนเรียนจบ  วิธีแกล้งกันมีอีกร้อยแปดวิธี  แอบวางเป๊กบนเก้าอี้มั่ง แบบนี้ใช้ได้ทั้งชายหญิง แต่ผู้หญิงจะไม่ค่อยเจ็บเพราะสวมกระโปรงหลายชั้น  เด็กผู้ชายสมัยนั้นไม่นุ่งกางเกงในกันจนกว่าจะเริ่มชั้นมัธยม  นั่งกันทีโผล่เลย  นุ่งกางเกงชั้นเดียวเจ็บกว่า แต่ถ้าเข้าห้องน้ำรูดซิปพลาดจะยิ่งเจ็บกว่า  สำหรับเด็กผู้ชายด้วยกัน บางทีก็ประกบนิ้วแทงก้นเพื่อนเล่นกันบ่อยๆก็มี

oct16.jpg

อำลาวัยเด็ก
 
16 ตุลาคม 1971 พ่อไปงานเลี้ยงต้อนรับลูกค้าชาวญี่ปุ่นของบริษัท  กว่าจะกลับมาถึงบ้านผมหลับไปแล้ว  แม่เล่าให้ฟังว่าพ่อเปิดปิดประตูแรงผิดปกติ  พ่อดื่มสาเกมาครึ่งแก้วบ่นปวดหัวกับแน่นหน้าอก  เลยไปอาบน้ำแล้วเข้านอน  คืนนั้นพ่อสำลักครืดคราด เมื่อแม่เขย่าเรียก พ่อก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว  แม่ไปตามคุณทิโมธีหว่อง เพื่อนบ้านมาช่วยพาพ่อไปศิริราชและให้อาผ่อ (แม่คุณหว่อง) มาอยู่เป็นเพื่อนผมกับพี่สาว  ผมรู้แต่พ่อไม่สบาย แม่พาไปโรงพยาบาล  ตีสี่แม่กลับมาถึงบ้าน ร้องไห้กอดลูก  หมอบอกว่าพ่อจากไปก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลด้วยระบบหมุนเวียนโลหิตล้มเหลว  จากไปด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันโดยไม่มีสัญญาณใดๆให้เราเตรียมตัวเตรียมใจกันเลย   ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายของการพลัดพรากเท่าใดนัก เด็กเกินกว่าจะเข้าใจ   ผมไม่รู้ว่าวัยเด็กที่แสนสุขของผมจบลงพร้อมกับการจากไปของพ่อ  ไม่ใช่เฉพาะผมที่กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนของชีวิต แต่เราทั้งครอบครัว
 
ผมขอบคุณพระเจ้าที่ครอบครัวเรามีพระองค์ ข้างหน้ามีอะไรที่รอเราอยู่มากมาย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมผ่านคืนวันเหล่านั้นมาได้อย่างไร  แต่ในพระองค์แล้ว ขวากหนามในชีวิตกลับแปรเปลี่ยนเป็นกลีบกุหลาบสำหรับครอบครัวของผม