ข้ามฟาก
ผมเรียนอยู่บริเวณสองอยู่หนึ่งปี เมื่อข้ามฟากมาเรียนที่บริเวณหนึ่งผมมาเรียนห้อง 3/1 สำหรับเด็กห้องคิง การได้ข้ามฟากเป็นเรื่องแปลกใหม่
รู้สึกว่าเราโตขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ผมเดินไปโรงเรียนน้อยลงไปหลายร้อยเมตร ปกติผมจะเดินจากบ้านตลาดพลู ย้อนถนนเทอดไทผ่านโรงเรียนพรประสาทวิทยาแล้วเลี้ยวขวาผ่านวัดขุนจันทร์
ผ่านวัดอัปสรสวรรค์
วัดปากน้ำเพื่อข้ามประตูระบายน้ำ
ผ่านซอยที่เป็นเรือนแถวไม้เป็นร้านค้าและตลาดชุมชนออกไปก็จะเจอกับรั้วโรงเรียน ระยะทางจากบ้านผมไปถึงโรงเรียนประมาณสามกิโลเมตร
ผมเป็นคนเดินเร็ว ใช้เวลาเดินประมาณสี่สิบนาที
ระหว่างที่เดินถ้าเจอเพื่อนๆระหว่างทางก็เดินคุยกันไป
ถ้าวันไหนฝนตกหรือสาย
ผมจะนั่งรถประจำทางไปสุดสายที่ท่าน้ำภาษีเจริญ
แล้วเดินข้ามประตูน้ำไปก็จะถึงโรงเรียน
ส่วนตอนเย็นก็ไม่ต้องรีบนัก
ผมสามารถเอ้อระเหยแวะบ้านเพื่อนมั่ง
เพื่อนพาเดินลัดเลาะไปตามซอยเล็กซอยน้อยจนผมรู้จักย่านนั้นทะลุปรุโปร่ง
ชั้น
3/1 เป็นอาคารไม้เก่าแก่สองชั้น
ผมอยู่ชั้นสอง ห้องของผมเป็นห้องที่ติดกับห้องอาจารย์ใหญ่และห้องธุรการของโรงเรียน จะมีบันไดไม้ขึ้นมาถึงหน้าห้องพอดี ความซนของเด็กอายุสิบห้าปีมักจะโดนอาจารย์เข้ามาดุเสมอๆ ครูประจำชั้นผมชื่อ
แสงทอง อรุณ มีอาจารย์อีกสองท่านคือ
อาจารย์ชวนพิศ
โภคา และอาจารย์บุญมา
รัตนอุบล ท่านหนึ่งใจดี
อีกหนึ่งท่านดุระเบิดเลย แต่ทั้งสองท่านแม้จะไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำชั้น
แต่ท่านรักและอบรมเด็กซนๆอย่างเราเสมือนครูประจำชั้น เวลาที่อาจารย์แสงทองเครียดกับความซนและเสียงดังของเราจนโดนอาจารย์ใหญ่ตำหนิ
อาจารย์ประจำชั้นของผมจะพูดสั้นๆและออกไป
สักพักหนึ่งอาจารย์ชวนพิศก็จะเข้ามาเหมือนน้าสาวใจดีแต่พูดยาวมาก อีกสักพักมาแล้ว
คุณป้าผู้เข้มงวดเดินฉับๆเข้ามาอย่างกับพายุและเราก็ต้องเริ่มฟังใหม่เป็นรอบที่สาม ผมได้นั่งคู่กับนายปวยกัง
(ตอนนี้เป็นแพทย์เฉพาะทางออร์โธปิดิกส์ไปแล้ว)
การเรียนของผมดีขึ้นมาก
ป่วยกังสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียน
ผมได้ที่สอง ผมยอมรับว่าเขาไบร์ทมากๆในวิชาคำนวณ ข้างหน้าผมคือณรงค์ชัยนั่งคู่กับทองดี
ผมเรียนได้ล้ำเลิศมากจากที่สอง
เทอมต่อมาผมก็สอบได้ที่สาม
และที่สี่
ตอนผมอายุสิบห้าปีผมเกิดอุบัติเหตุสองครั้ง ไปโดนหมาบ้านแดงเพื่อนที่พรประสาทกัดเอาตอนปิดภาคฤดูร้อนจนผมกระเพลกไปเป็นเดือน และในปลายเทอมต้น
ผมตกจากบาร์คู่ทำให้แขนซ้ายผมเดาะและงอผิดรูปตั้งแต่นั้นมา
ชั่วโมงพลศึกษาเป็นชั่วโมงที่สนุกที่สุดและทุกข์ที่สุด เอาเรื่องทุกข์ก่อน
เนื่องจากเราต้องเล่นอะไรที่เราไม่ชอบไม่ถนัดแล้วมันยาก
อยากให้หมดชั่วโมงเร็วๆ ผอมกระหร่องไม่มีแรงอย่างผมต้องมาหัดยิมนาสติก แล้วก็ชกมวยสากล แต่ในท่ามกลางความไม่สนุกบางครั้งก็เป็นผลดี ผมเป็นเด็กผอมสูง เวลาเปรียบมวยจากน้ำหนักแล้ว
คู่ชกของผมเตี้ยกว่าผม 20
ซม. ในที่สุดผมถึงเวลาสอบเอาคะแนน
ครูให้ชกสามยก ยกละสามนาที ผมเลยไม่ต้องชกสอบ
แต่เป็นกรรมการเวลา
ช่วยครูจัดตารางชก เตรียมสถานที่ ความสนุกที่สุดอยู่ที่ครูมักจะปล่อยก่อนเวลา
15-20 นาที โรงเรียนผมติดคลองบางหลวง
เป็นเวลาที่พวกผมเหลือแต่กางเกงในสีแดงแปร๊ด กระโดดเล่นน้ำกัน วันไหนผมเล่นน้ำคลองผมจะแอบๆเอาเสื้อผ้าที่เปียกชื้นซักเองไม่ให้แม่รู้
เพราะในคลองบางหลวงมีเรือหางยาววิ่งไปมาเยอะ ผมอย่างเก่งก็ว่ายข้ามคลองกลับไปกลับมา ไม่ก็ดำน้ำไปแกะหอยขมที่จับอยู่ข้างเขื่อนใต้น้ำ
เพื่อนผมบางคนจะเกาะเรือโยงเล่นแล้วว่ายกลับ
ผมไม่กล้าเพราะมีคนบอกว่ามันวิ่งช้าก็จริงแต่มีแรงดูดใต้น้ำที่แรง
คนที่ว่ายน้ำไม่เป็น
อาจารย์จรัล ทองอุทิศ
จะโยนมะพร้าวลูกหนึ่งให้หัดเกาะหัดว่ายและตีขากระทุ่มน้ำ
ตอนที่ข้ามฟากไปใหม่ๆ
เขื่อนเดิมพังหมดแล้วจนน้ำเซาะเข้ามาถึงโคนต้นมะม่วง รากมะม่วงเลยเป็นที่ห้อยโหนอย่างดี โรงเรียนทำเขื่อนและรั้วใหม่
เราเลยไม่มีที่เล่นริมน้ำอีกต่อไป
ชั้นม.ศ.3 เป็นชั้นที่เฮี้ยวมาก เด็กผู้ชายพอไม่มีอะไรทำก็จะหาเรื่องแอบนินทาครู
บางทีเราก็จะแอบตั้งฉายาให้ครู อย่างอาจารย์เริ่ม
วิบูลย์พานิช ครูชอบใส่รองเท้าสีขาว เวลาครูมา โกวิทซึ่งนั่งติดประตูจะเป็นต้นห้องตะโกนว่า
“รองเท้าขาวมาแล้ว” เป็นอันว่ารู้กันว่าเลิกเล่นเพราะครูมาแล้ว เวลาครูเริ่มสอนภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์เป็นเวลาที่เราจดเลคเชอร์ไม่เคยได้เลย
ผมจำศึกเก้าทัพได้แม่นมากเลยว่ากระดานดำสองกระดานใหญ่
ครูเขียนเส้นระโยงระยางเสียจนเวียนหัวไปหมด ท่าจับชอล์คของครูเหมือนกลัวชอล์คเจ็บและครูเขียนเบามือมาก
ครูบางคนก็ได้รับสมญาค่อนข้างทะลึ่งสักหน่อยตามการแต่งกาย
เลยเป็นบทเรียนให้ผมอย่างว่า
อย่าสวมกางเกงที่ฟิตเกินไปจนเป็นเป้าสายตา
โรงเรียนผมมีครูพละสองท่านและครูพละฝึกหัดหนึ่งท่าน ถ้าพูดถึงเปเล่
ก็จะทราบกันทันที่ว่าคืออาจารย์จรัล
ทองอุทิศ ครูเล่นกีฬาเก่ง
ตัวใหญ่ ผมหยิกคล้ายเปเล่มาก ส่วนครูพละฝึกหัดที่มาสอนหลายคนกลับไม่เป็นที่ประทับใจและเป็นที่รักของนักเรียนเหมือนครูเปเล่ ครูจึงเป็นที่ปรึกษาของนักเรียนที่อยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของวัย
เป็นครูผู้ปกครองไปโดยปริยาย ที่โรงเรียนของผมมีรองอาจารย์ใหญ่ฝ่ายปกครอง อาจารย์ทองเจือ ชงบางจาก เป็นอาจารย์ที่ตัดผมสั้นเกรียน
ผมสีดอกเลา เป็นอาจารย์เก่าแก่และกำลังจะเกษียณ น้ำเสียงของอาจารย์เข้ม
แต่ลูกตาอ่อนโยนผิดกับท่าทาง อาจารย์มักแต่งกายด้วยชุดสีกากี
ในขณะที่อาจารย์ท่านอื่นจะสวมเสื้อเชิตสีอ่อน
กางเกงดำหรือสีเข้มผูกเน็คไท เด็กที่ไม่รู้บางทีนึกว่าอาจารย์เป็นภารโรง เวลาพูดก็จะไม่ได้ให้ความเคารพเท่าที่ควร
อาจารย์ก็ไม่ว่าอะไรสักคำ
เพียงยกมือเขกกระโหลกแรงๆหนึ่งทีเป็นการเรียกสตินักเรียนให้คืนมา
ความสนุกของการเรียนโรงเรียนวัดที่มีพื้นอาคารเป็นพื้นไม้อีกอย่างก็คือ
ทุกเทอมเราจะมีการลงแวกซ์พื้นกัน พื้นจะเป็นมันและลื่นให้ลากเล่นกันได้ ใต้ถุงเท้าสีน้ำตาลของพวกเราจะพื้นดำปี๋เลยเพราะเล่นผลักไถกันทั้งวัน ถ้าเดินไม่ดีก็มีสิทธิ์ลงไปวัดพื้นกันได้ แต่พวกที่อยู่ห้องด้านล่างเป็นพื้นปูนจะไม่เจออย่างห้องที่อยู่ชั้นบน เมื่อผมอยู่ชั้นม.ศ.3 ผมเป็นหัวหน้านำสวดมนต์ทุกเช้า
และแล้วก็มีเช้าวันหนึ่งที่ผมมาบอกคุณครูว่า
ผมจะไม่นำสวดมนต์อีกแล้ว
เพราะผมนับถือคริสต์ ครูก็ไม่ได้ว่าอะไร
แต่เวลาสวดมนต์ตอนเช้า
เพื่อนๆผมแกล้งผม ผมโดนเพื่อนแกล้งจนจบชั้นมัธยมฯ
ถึงขนาดที่ใน สมุดเฟรนด์ชิปตอนอำลาชีวิตมัธยม
เพื่อนก็ยังเขียนแซวเรื่องผมไม่พนมมือสวดมนต์อีก
เมื่อผมมาเรียนที่วัดนวลฯ
ในห้องผมมีกระเทยหนึ่งคน (ในโรงเรียนมีประมาณ
5-6 คน)
วันกีฬาสีจะเป็นวันที่เพื่อนๆเหล่านี้ได้ปลดปล่อย คงศักดิ์เป็นคนขยัน
แต่จริตนี่สุดๆเลย บางวันก็จะแต่งหน้ามาด้วย
ถ้าวันนั้นจ๊ะเอ๋กับอาจารย์บุญมา คงศักด์อาจเจอแปรงลบกระดานต่างพัฟผัดหน้า
เจอชอล์คสีต่างอายชาโดว์ มีอยู่ครั้งหนึ่งเรานัดกันหลังชั่วโมงพละว่าจะช่วยกันเปลื้องผ้าเพื่อนสาวของเรา ที่จะช่วยกันนี่เป็นเพราะพละเป็นชั่วโมงสุดท้ายของวัน
เราจะปิดประตูเปลี่ยนเสื้อผ้ากันในห้องอยู่แล้ว เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า
เพื่อนสาวของเราชอบพับขอบเอวกางเกงบอลล์ลงไปแล้วก็มาเต้นส่ายสะโพกยั่วเย้าเพื่อนหน้าห้อง ผู้ชายสิบกว่าคนตกลงใจว่าเราจะไม่แค่งับประตูอย่างเดียว
แต่เราจะลงกลอนเลย ปรากฏว่าผู้ชายสิบกว่าคนเอาไม่อยู่ครับ
เพื่อนสาวของเราทั้งดิ้นทั้งถีบและกรีดร้อง
เสียงโต๊ะล้มเสียงถีบข้างฝาดังสนั่น วันรุ่งขึ้นเราโดนทำโทษกันทั้งห้อง ตอนนี้คิดถึงเพื่อนคนนี้จัง
ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว
ไม่เจอกันตั้งแต่จบชั้น
3/1 ทราบแต่เพื่อนไปเรียนวิทยาลัยครูเพราะไม่ต้องเรียนรด.และครูไม่ต้องเกณฑ์ทหาร