ผมไปดูนิทรรศการภาพถ่ายทางอากาศ
Earth from above ของศิลปินถ่ายภาพชาวฝรั่งเศสชื่อ
Yann Arthus-Bertrand โลกจากมุมมองลงมาและข้อเท็จจริงที่บรรยายช่วยเปิดโลกทรรศน์ให้ผมมากมาย ในช่วงเวลาไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมา
มนุษย์ได้ใช้ทรัพยากรของโลกนี้เพื่อความสดวกสบายของตนเองและทิ้งปัญหามลภาวะไว้อย่างไม่ใส่ใจ
ประชากรของโลกนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับจากปี
1950 ซึ่งมีประชากรเพียง
2,500 ล้านคน จนในปัจจุบันเรามีประชากรกว่า
6,800 ล้านคน ประชากรที่เพิ่มขึ้นนำมาซึ่งการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เราทำการเกษตรกรรมกันอย่างกว้างขวาง ทำการหักร้างถางพงซึ่งหมายถึงการบุกรุกป่า
การตัดไม้ใหญ่และลุกลามขึ้นไปบนเขาด้วยการทำไร่ทำนา
ไม้ใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งผลิตกาซออกซิเจนและเผาผลาญคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศให้เป็นอินทรีย์สารค่อยๆหมดไป จากการทำไร่ทำนาเราเก็บเกี่ยวพืชผลและเผาตอซังแทนการฝังกลบเพื่อทำลายไข่แมลงและโรคพืช เป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ คาร์บอนไดออกไซด์เหล่านี้ลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศและห่อหุ้มโลกไว้ทำให้ไม่สามารถสะท้อนรังสีความร้อนออกไปได้
โลกจึงส่ำสมความร้อนไว้มากขึ้น ไฟจากการเผาไม้ส่วนหนึ่งลุกลามไปสู่ป่าทำให้เกิดการสูญเสียเป็นวงกว้าง มนุษย์เรารู้จักการทำเกษตรกรรมมาประมาณหนึ่งหมื่นปี
เริ่มจากการคัดพันธุ์พืชไร่ที่ให้ผลผลิตมาก
และพยายามผสมพันธุ์ที่ต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูจนเหลืออยู่ไม่กี่สายพันธุ์ ประมาณว่าเรามีสายพันธุ์ข้าวอยู่
120,000 สายพันธุ์ทั่วโลก
แต่ข้าวที่มนุษย์เพาะปลูกกันในโลกนี้ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงพันกว่าสายพันธุ์เท่านั้น การคัดเลือกพันธุ์ข้าวทำเอาความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวหายไปหมดสิ้นเพราะเราไม่เก็บเมล็ดพันธุ์พื้นเมืองและพันธุ์ถิ่นดั้งเดิมไว้ เมื่อใดที่ศัตรูพืชปรับตัวเพื่อการอยู่รอดได้
จะไม่มีสายพันธุ์ข้าวเหลือให้ทำเกษตรกรรมได้อีก และด้วยเหตุที่สิ่งมีชีวิตศัตรูพืชสายพันธุ์เป็นสัตว์เป็นจุลินทรีย์ชั้นต่ำ
โอกาสและระยะเวลาของการกลายพันธุ์เพื่อความอยู่รอดจะมีอายุสั้นเพียงไม่กี่ชั่วอายุเท่านั้น นอกจากการปรับปรุงพันธุ์แล้ว
มนุษย์ยังใช้สารเคมีเข้ามาโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นธาตุอาหาร ใช้ฆ่าแมลงศัตรูพืช
ใช้กำจัดวัชชพืชอื่นที่ขึ้นปะปน สารเคมีเหล่านี้ใช้ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างตามการปรับตัวของศัตรูพืช
แต่สิ่งที่เหลือค้างไว้คือความเป็นพิษของมัน
ดีดีที
(DDT) เป็นเคมีตัวแรกที่นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อควบคุมแมลงในระหว่างปี
1950-80 ประมาณว่ามีการใช้กันปีละ
40,000 ตัน โดยในปี
1963 มียอดการผลิตสูงสุดถึง
82,000 ตัน สหรัฐอเมริกาเพิ่งจะห้ามใช้ดีดีทีเมื่อปี
1972 หรือประมาณ30 ปีมานี้เอง ครึ่งชีวิตของดีดีทีประมาณ
2-15 ปี หากลงสู่แหล่งน้ำจะมีครึ่งชีวิตเพียง
1-2 เดือน แต่จะคงอยู่นานมากในดิน พาราควอท (paraquat) เป็นยาฆ่าหญ้าวัชชพืชมีการใช้กันตั้งแต่ปี
1961 กลุ่มประชาคมยุโรปเพิ่งประกาศห้ามใช้พาราควอทเมื่อปี
2007 พาราควอทเมื่อลงสู่แหล่งน้ำจะหายไปในเวลาอันสั้นแต่จะถูกพืชน้ำดูดซับไว้และตกลงไปในดินเลน ครึ่งชีวิตที่มีรายงานไว้คือ
16 เดือนถึง 13 ปี สำหรับในดินเลนนั้นมีรายงานครึ่งชีวิตมากกว่า
400 วัน และมากกว่า
1,000 วันบนผืนดิน ครึ่งชีวิตของเคมีต่างๆมีความแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับการกำหนดสภาวะในการทดสอบ เคมีบางชนิดสลายตัวเร็วหากอยู่ในที่เปิดโล่ง
มีแสงแดดส่องถึง หรือสลายไปเพราะจุลินทรีย์ธรรมชาติย่อยสลายอย่างช้าๆ ส่วนในดินนั้นมักอยู่ได้นาน หากดูจากครึ่งชีวิตของสารเคมีข้างต้นแล้ว
จะเห็นว่าเกษตรอินทีย์เป็นเพียงชื่อแต่ไม่มีจริงในโลกนี้แม้จะมีการพักผืนดินนานถึง
3 ปีก็ตาม เคมีที่ถูกฝนชะและพัดพาสู่แหล่งน้ำเป็นอันตรายกับพืชและสาหร่ายในน้ำ
พืชที่อยู่ริมน้ำ และสัตว์น้ำซึ่งเป็นห่วงโซ่อาหารของสัตว์น้ำรวมถึงที่อยู่บนบกเช่น
นกที่หากินกับแหล่งน้ำและของมนุษย์ โดยไปทำลายตับ
ไต ระบบประสาท และหลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง
เคมีบางชนิดส่งเสริมให้มีการเจริญเติบโตของแพลงตอน
และสาหร่ายบางชนิดทำให้แหล่งน้ำเป็นพิษ
พืชและสัตว์น้ำตายเน่าเสีย กว่าระบบนิเวศน์จะคืนสมดุลย์ธรรมชาติอีกครั้งหนึ่งก็เป็นเวลาหลายปี
หรือไม่มีทางกลับคืนอีกเลยเมื่อมีการเติมเคมีลงไปเรื่อยๆตลอดเวลา
มนุษย์ตัดแต่งพันธุกรรมพืชอาหารเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุดและได้สายพันธุ์ที่มีคุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น ดัดแปลงให้มีความต้านทานต่อโรคและแมลงมากขึ้น ส่วนหนึ่งคือเจ้าของเทคโนโลยีมุ่งตักตวงผลประโยชน์ผูกขาดการขายเมล็ดพันธุ์ หากเกษตรกรนำเมล็ดพันธุ์ในรุ่นลูกไปขยายพันธุ์ต่อจะไม่ได้ผลผลิตเช่นรุ่นแรก
อาหารพันธุกรรมดัดแปลงเหล่านี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นและบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ได้รับการโต้ตอบว่าไม่มีการยืนยันความปลอดภัยในระยะยาว การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้มนุษย์มีแหล่งอาหารที่ดีและเพียงพอไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์
แต่กลับถูกปั่นราคาด้วยนายทุนและถูกต่อต้านทางตลาด ในปี 2050 คาดว่าโลกนี้จะมีประชากรราว
9,000 ล้านคน ประชากรที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากเอเชียและอัฟริกาซึ่งด้อยพัฒนา
ในขณะที่ยุโรปและอเมริกาเหนือไม่เปลี่ยนแปลงทางตัวเลขมากนัก เอเชียจะมีประชากรเพิ่มขึ้นถึง
1,600 ล้านคนมากกว่าประชากรจีนในปัจจุบัน พื้นที่เพาะปลูก
ปริมาณอาหาร และการจัดสรรแหล่งน้ำจะเป็นปัญหาใหญ่ของเอเชียอย่างแน่นอน
ประมาณว่ามีมนุษย์ใช้น้ำจืดเพื่อการเกษตรกรรมกว่า 70% ใช้ในอุตสาหกรรม
20% และในครัวเรือนอีก
10% ในสหรัฐอเมริกาประมาณว่าคนๆหนึ่งใช้น้ำในครัวเรือนวันละ
20-40 ลิตร ส่วนการปศุสัตว์นั้นใช้น้ำมากกว่าภาคกสิกรรมหลายเท่า สัตว์ใหญ่หนึ่งตัวใช้น้ำ
4,000 ลบ.ม.หรือ สี่ล้านลิตร
การผลิตเนื้อวัว
1 กก.ใช้น้ำ 15,000 ลิตร, ไข่หนึ่งฟองประมาณ
135 ลิตร, ส้ม 1 กก. 1,000
ลิตร, กาแฟหนึ่งแก้ว
140 ลิตร รองเท้าหนังหนึ่งคู่
8,000 ลิตร, ข้าวหนึ่งกิโลกรัมประมาณ
1,500 ลิตร ในขณะที่แหล่งน้ำเพื่อการกินนั้นลดน้อยลง น้ำไม่สะอาดพออีกต่อไปเพราะมีการปนเปื้อนจากการเกษตรกรรม ส่วนน้ำฝนก็ชะเอามลพิษในอากาศจากภาคอุตสาหกรรมลงมามากมาย มนุษย์ได้ผันน้ำมาใช้ส่วนหนึ่งเพื่อภาคการเกษตร
อีกส่วนหนึ่งเพื่อเป็นพลังงานไฟฟ้า การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่นำพาปัญหาต่างๆอีกมากมาย
เพราะเป็นการเปลี่ยนระบบนิเวศน์ นอกจากป่าไม้ถูกทำลายแล้ว
พฤติกรรมของสัตว์ต่างเปลี่ยนไปเพื่อความอยู่รอด
บ้างก็เข้ามาปะปนอยู่กับชุมชน
ความหลากหลายทางชีวภาพก็เปลี่ยนไปด้วย สายพันธุ์ของพืช
สัตว์และจุลินทรีย์หมดไปกับน้ำที่ท่วมขัง
และน้ำใต้เขื่อนที่หดหายไป น้ำที่ครั้งหนึ่งพัดพาเอาตะกอนดินและแร่ธาตุยังความอุดมให้กับปลายน้ำและทะเลกลับตกอยู่ที่เหนืออ่างเก็บน้ำ ปลาหลายชนิดไม่สามารถว่ายทวนน้ำกลับขึ้นไปวางไข่ได้ ปัญหาของแหล่งน้ำจะเป็นปัญหาใหญ่ในศตวรรษหน้า สงครามชิงแหล่งน้ำเกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่ของโลกนี้และจะมีเพิ่มมากขึ้น หากเป็นแม่น้ำนานาชาติ
เช่น แม่โขง อิระวดี
สาละวิน คงได้มีอะไรดีๆให้เราได้เห็นกันในอีกไม่นานนี้
ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
บนเกาะสุมาตรา และอีกหลายที่มักเกิดไฟป่า
ไฟป่าที่มนุษย์ได้ก่อเป็นระบบธรรมชาติที่เกิดขึ้นเพื่อคืนสมดุลย์ให้กับนิเวศน์วิทยา พืชใหญ่ที่โตเร็วจะคลุมดินและบังแสงแดดไม่ให้ตกถึงพื้นดิน
เมื่อไฟป่าหมดและฝนมาเยือน เราจะเห็นไม้ยืนต้นผลิใบใหม่ เมล็ดพืชที่ตกอยู่ใต้ดินจะแทงหน่อขึ้นมาเจริญอีกครั้งหนึ่งและมีโอกาสที่จะรักษาพืชพันธุ์ของมันไว้ เรามักเห็นการปลูกพืชทดแทนป่าเสื่อมโทรม การทำสวนยาง และพืชเศรษฐกิจไม้ใหญ่อื่นๆที่มีการปลูกเป็นแถวเป็นแนว การปลูกพืชเป็นแนวแบบนี้กันลมพายุได้ไม่ดีเท่ากับแบบที่ขึ้นแซมปะปนในธรรมชาติและความหลากหลายของพันธุ์ไม้จะเป็นแนวกันลมพายุได้เป็นอย่างดี
การปลูกไม้ชนิดเดียวยังประโยชน์ให้กับแมลงและพืชเล็กๆ
รวมถึงจุลินทรีย์เจริญเติบโตได้เพียงบางกลุ่มเท่านั้น และเมื่อมีศัตรูพืชมาถึงป่านั้นจะถูกทำลายไปทั้งผืนเช่นเดียวกับป่าไผ่ในหลายพื้นที่ของไทยที่เคยตายลงพร้อมๆกันมาแล้ว ความหลากหลายทางชีวภาพจะถ่วงดุลย์ซึ่งกันและกันไว้และจะตั้งแนวป้องกันตนเองเมื่อมีภัยมาได้ดีกว่าเสมอ
มนุษย์ใช้น้ำมันและถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานหลัก ความต้องการพลังงานของมนุษย์มีมากขึ้นทุกวันในขณะที่น้ำมันและถ่านหินกำลังจะหมดลง ซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมกันใต้พิภพนับล้านปีถูกขุดขึ้นมาใช้หมดไปในชั่ว
60 ปี
เราต้องการน้ำมันวันละกว่า
120 ล้านบาร์เรล ขยะจากปิโตรเลียมในรูปของพลาสติกมีเกลื่อนโลกทุกที่และขจัดไม่ได้
พิษจากขยะเหล่านี้กำลังแพร่ให้เราทีละน้อยอย่างไม่รู้เท่าทันผ่านภาชนะพลาสติกและโฟมจากขวดน้ำ
การอุ่นในไมโครเวฟ เมื่อสิบกว่าปีก่อนดูไบทำนายว่าน้ำมันดิบในบ่อของตนเองจะมีให้สูบไปได้อีก
20 ปี มันน่าจะใกล้หมดลงเต็มทีแล้ว การเจริญทางวัตถุแบบก้าวกระโดดของจีนและอินเดียเร่งให้น้ำมันหมดโลกเร็วยิ่งขึ้น ประชากรทั้งสองประเทศนี้รวมกัน
2,500 ล้านคนเกินกว่าหนึ่งในสามของประชากรโลกที่ช่วยกันบริโภคน้ำมัน มนุษย์เริ่มหาแหล่งพลังงานทดแทน
เช่นปฏิกรณ์ปรมาณู ประมาณกันว่าหนึ่งเตาปฏิกรณ์สร้างขยะปรมาณูไม่น้อยกว่า
20-30 ตันต่อปี
ครึ่งชีวิตของแหล่งพลังงานจากแร่พลูโตเนียมคือ
24,000 ปี ประเทศในแถบศูนย์สูตรซึ่งมีแสงแดดตลอดปีกลับไม่ได้คิดนำประโยชน์จากพลังงานอันมหาศาลนี้มาใช้ พากันถูกฝรั่งที่อยู่ในเขตอบอุ่นหลอกให้ใช้ไบโอดีเซล ใช้แอลกอฮอล์ผสมน้ำมัน อินโดนีเซียล้างผืนป่าเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน บราซิลล้างป่าดงดิบเพื่อปลูกข้าวโพดไว้เป็นวัตถุดิบหมักแอลกอฮอล์ หายนะถูกผลักไปให้กับประเทศโลกที่สาม ดูไปประเทศไทยก็ไม่ได้ฉลาดนักในเรื่องนี้ที่ได้มีการหยิบยกเอาพืชน้ำมันหลายอย่างมาส่งเสริมให้ปลูกกัน เรากำลังหักร้างถางพงเพิ่มขึ้นเพื่อปลูกพืชน้ำมัน รัฐบาลใหม่ของเราประกาศยกพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมให้เป็นที่ปลูกพืชพลังงานทดแทน
แทนที่จะคืนป่าให้กับธรรมชาติ บ้างก็เอาผืนดินที่เคยปลูกพืชอาหารไปปลูกพืชน้ำมันแทนเพราะคิดว่าผลผลิตได้ราคาดีกว่า
ภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นจากการสันดาปพลังงานในโลกนี้ทำให้โลกร้อนขึ้น พื้นที่ของโลกสองในสามคือภาคพื้นน้ำ อัตราการระเหยของน้ำจำนวนมหาศาลมีมากขึ้นกลายเป็นฝนและพายุที่กระหน่ำ ในสองสามปีที่ผ่านมาพายุมรสุมมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน นักวิทยาศาสตร์จากนาซาระบุชัดว่าอุณหภูมิบนพื้นผิวมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้นในขณะนี้เพียง
0.25-0.5 องศาเซลเซียส
ทำให้พายุมรสุมเกิดถี่ขึ้น และลมรุนแรงยิ่งขึ้น
ช่วงระยะเวลาของฤดูมรสุมยาวนานขึ้น และชะตากรรมของเราใกล้จะขาดเต็มที มีหลายทฤษฎีที่พยายามจะอธิบายว่าวันนั้นจะเป็นอย่างไร
และที่มีคนให้ความเชื่อถือกันมากก็คือ
น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลายแตกออก น้ำทะเลในแถบขั้วโลกจะลดอุณหภูมิลง ความหนาแน่นของน้ำเย็นที่มีมากกว่าน้ำอุ่นจะผลักให้กระแสน้ำอุ่นเช่นกัลฟ์สตรีมซึ่งปกติไหลจากแถบทะเลแคริเบียนในเขตศูนย์สูตรขึ้นไปทางชายฝั่งอเมริกาข้ามแอตแลนติกไปทะเลเหนือบริเวณเกาะอังกฤษนั้นถูกผลักลงทางใต้ เขตอบอุ่นเช่นนิวยอร์ค บอสตัน คานาดา
ยุโรปตอนบนจะหนาวเยือกอุณหภูมิติดลบเพราะกระแสน้ำอุ่นขึ้นไปไม่ถึง กระแสน้ำอุ่นที่เคยพาแพลงตอนขึ้นไปสู่ทะเลเหนือทำให้ปลาชุกชุมจะพาอาหารไปที่อื่นแทน หน้าหนาวจะมาถึงเร็วและยาวนาน ฤดูกาลต่างๆจะเปลี่ยนไป น้ำแข็งที่ละลายจะทำให้เมืองตามชายฝั่งจมอยู่ใต้น้ำเนื่องจากน้ำทะเลยกตัวสูงขึ้น
มนุษย์คือผู้ทำลายที่บังคับเปลี่ยนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาเพื่ออำนวยความสดวกสบายและชีวิตที่ดีขึ้น เรามีที่อยู่ที่ดีขึ้นด้วยการออกแบบและวิศวกรรมการก่อสร้าง เราสามารถผลิตอาหารอาหารที่อุดมและเพิ่มคุณค่าเฉพาะอย่าง เรามีเครื่องนุ่งห่มที่สวยงาม
เรามีเฟอร์ตกแต่งเสื้อผ้า
มีกระเป๋าหนัง เครื่องประดับที่ได้จากสัตว์หายาก
และเราน่าจะมีสุขภาพดีเพราะมีความรู้เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บและยารักษาโรคมากขึ้น แต่ทุกวันนี้มีคนอดอยากปีละ
850 ล้านคน มีเด็กตายจากการขาดอาหารวันละ
16,000 คนหรือทุก 5 วินาที เรามีคนเจ็บไข้ได้ป่วยและมีคนตายจากอาหารเป็นพิษมากมาย เรามีคนไข้ที่เป็นโรคจากการบริโภคทวีขึ้น
อายุเฉลี่ยของคนเราในยุควิทยาการทันสมัยคือ
65 ปี ซึ่งดีกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่เกือบสิบปี คนรุ่นต่อไปผมไม่คิดว่าค่าเฉลี่ยจะดีกว่านี้แล้ว
เราตายง่ายตายเร็วเพราะผลกรรมที่ทำไว้ เป็นโรคหัวใจ
โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต
โรคมะเร็ง ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการบริโภคที่ผิดปกติ ความแออัดของชุมชนเมืองกลับปล่อยมลภาวะต่างๆย้อนกลับมาทำลายตัวเราเอง รังสีและคลื่นต่างๆจากไมโครเวฟ
จากโทรศัพท์ ความดังของเสียง เราถูกคลื่นที่ไม่เห็นด้วยตาแทงทะลุผ่านตัวของเรามากมายและมันทำอะไรกับเซลในร่างกายของเรา
ตัวเลขของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น การมีบุตรยากขึ้น จำนวนสเปิร์มลดลง
ผมหงอกขาวก่อนวัย ผู้ป่วยโรคจิตที่มีมากขึ้น การระบาดใหญ่ของเชื้อโรคที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่น
เอดส์, ไข้หวัดนก, ซาร์ส
และปรากฏการณ์อีกนับไม่ถ้วนล้วนมาจากนิเวศน์เปลี่ยนไป
โลกนี้เกิดจากฝุ่นของดวงดาวซึ่งได้อยู่ในวงโคจรภายใต้แรงดึงดูดของดาวสุริยะ ถือกำเนิดมาเมื่อราว
4,500 ล้านปีที่แล้ว วิวัฒนาการของโลกเกิดขึ้นเรื่อยๆและเราแบ่งออกเป็นยุคๆ นักธรณีวิทยาได้เก็บหลักฐานการเปลี่ยนแปลงของโลกจากแร่ธาตุในดิน
ในมหาสมุทร จากอะตอมของธาตุที่เปลี่ยนไปเมื่อปลดปล่อยกัมมันตภาพออกมา จากแกนของน้ำแข็งขั้วโลกซึ่งถือว่าเป็นน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
รวมถึงซากพืชซากสัตว์ที่กลายป็นหิน เขารวบรวมข้อมูลต่างๆเหล่านี้มาประมวลเข้าด้วยกันและสันนิษฐานวิวัฒนาการของโลกเป็นลำดับขั้น หลังจากที่โลกนี้เกิดมาได้
3,100 ล้านปี หรือ 1,500
ล้านปีก่อน ภาวะของโลกก็เย็นลงและเหมาะสมที่จะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น สิ่งมีชีวิตพวกแรกๆเป็นพวกเซลเดียว
ใช้แร่ธาตุในน้ำเป็นแหล่งอาหาร
และเจริญวิวัฒนาการเป็นพวกพืชชั้นต่ำ
เห็ดและรา จากการใช้แร่ธาตุเริ่มมีการสังเคราะห์แสงตรึงคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศมาใช้เป็นแหล่งพลังงาน เราพบฟอสซิลของสัตว์ชั้นต่ำซึ่งมีอายุ
600 ล้านปี บรรดาหอยในน้ำเริ่มมีเมื่อ
300 ล้านปีก่อน หลังจากนั้นก็เป็นยุคจูราสิกซึ่งเป็นวิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ
รวมถึงไดโนเสาร์ในราว
200 ล้านปีก่อน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพวกแรกๆพบฟอสซิลที่มีอายุย้อนหลังไป
50-60 ล้านปี หากคิดว่า
100 ล้านปีเท่ากับหนึ่งวัน นับว่าวันที่โลกถือกำเนิดมาครบ
4,550 ล้านปีนั้นเท่ากับ
45 วัน เมื่อสองแสนปีก่อนบรรพบุรุษของมนุษย์ชนิด
Homo habilis ได้ถือกำเนิดขึ้น
และวิวัฒนาการมาเป็น
Homo sapiens เมื่อ 130,000 ปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับอายุ
45 วันของโลกแล้ว มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ
12 ชั่วโมงที่แล้วเอง มนุษย์ได้เริ่มทำเกษตรกรรมครั้งแรกเมื่อ
11,000 ปีก่อน และเข้าสู่ยุคของอุตสาหกรรมเมื่อราวปีค.ศ.
1950 เพียง 12 วินาทีในยุคอุตสาหกรรมเท่านั้น โลกนี้ยับเยินด้วยน้ำมือของคนไม่ถึง
2 รุ่นหลังจากที่ฟูมฟักกันมา
4,500 ล้านปี หรือ เพียงพริบตาเดียวจริงๆ ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรที่มันจะกลับคืนมาเหมือนเดิม
ที่มา:
http://www.lenntech.com/water-food-agriculture.htm
http://www.worldwater.org/
http://en.wikipedia.org/wiki/World_population
http://www.guardian.co.uk/environment/2005/dec/01/science.climatechange
http://www.sciencedaily.com/releases/2002/02/020221072948.htm
http://www.gfdl.noaa.gov/~tk/glob_warm_hurr.html
http://news.nationalgeographic.com/news/2004/04/0420_040420_earthday_2.html
http://www.grida.no/climate/vital/19.htm
http://www.wagingpeace.org/menu/issues/nuclear-energy-&-waste/start/fact-sheet_ne&w.htm
http://www.bread.org/learn/hunger-basics/hunger-facts-international.html
http://geothai.net/2008/index.php?option=com_content&task=view&id=105&Itemid=0