จากเด็กเล็กๆคนหนึ่ง
ชีวิตที่สะดุดเกือบทุกจังหวะแต่กลับไม่เคยล้ม
ก้าวไม่เคยหยุด ในทุกจังหวะนั้นกลับมีเรื่องราวที่ทำให้ผมฉงน
ใครหนอที่ยื่นมือมาพยุงผมไว้ในเวลาที่เหมาะสม
ใครที่อุ้มและชูผมไว้ด้วยพละกำลัง
มีเพียงผู้เดียวที่นำผมมาไกลถึงขนาดนี้...พระเจ้าจอมโยธา
ฟ้าแจ้งก่อนพายุจะมา
ผมอายุยังไม่ถึง
10 ขวบดี ผมก็เข้าโบสถ์แล้ว แม่เอาผมไปฝากเรียนเปียโนที่ศาลาธรรมตลาดพลู ผมจะไปเรียนทุกวันศุกร์ตอนเย็น พอเรียนเสร็จก็ได้เวลาประชุมนมัสการพอดี การนมัสการภาคกลางคืนมีคนประชุมประมาณ
20 คน มีทั้งคนจีนสูงอายุที่ยังเกล้ามวยไว้ที่ท้ายทอย
ใส่เสื้อคอจีนสีขาวบ้าง
ฟ้าบ้างและนุ่งกางเกงปังลิ้ง
สวมกำไลหยก ลงมาถึงอนุชนที่กำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย ส่วนผมเกือบจะเด็กที่สุดแล้วเพราะผมเพิ่งจะประถมปีที่4 อาจารย์จะเทศน์เป็นภาษาจีนแต้จิ๋วและมีล่ามแปลเป็นภาษาไทย ผมจึงได้ยินเรื่องในพระคัมภีร์ตั้งแต่เด็กๆ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่จำได้หมดเพราะผมเป็นคนมีความจำดี ส่วนพุทธศาสนานั้น
ผมเรียนจากวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมซึ่งผมก็มักจะได้คะแนนเกือบเต็ม
ญาติข้างแม่ผมไหว้เจ้ากันเป็นหลัก
ในเทศกาลตรุษสารที่ศาลเจ้าผมจะไปนั่งดูเขาเล่นงิ้วประมูลโคมกัน
เวลาคุณตาคุณยายผมจากไป
ผมต้องไปช่วยพับกระดาษเงินกระดาษทอง
ต้องไปแต่งชุดขาวเดินข้ามสะพานกงเต็กและนั่งฟังพระจีนสวด
ผมมีพื้นฐาน แนวคิดแบบคริสต์และพุทธมาตั้งแต่เด็กรวมถึงเห็นการไหว้เจ้าของบ้านญาติข้างแม่
ปี 2514 เมื่อผมอายุ
12 ปี พ่อผมจากไปอย่างกระทันหันด้วยระบบโลหิตหมุนเวียนล้มเหลวเนื่องจากหัวใจโต ทำให้แม่ของผมเศร้าโศกมากแต่แม่ก็ต้องอยู่เพราะมีลูกสองคน คนหนึ่งกำลังจะจบชั้นประถมศึกษาปีที่
7 หรือม.1 ส่วนอีกคนหนึ่งอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4 หรือ ม.5 พ่อผมเป็นคนหาเลี้ยงคนในครอบครัว ส่วนแม่ผมทำงานบ้านและดูแลลูก ตั้งแต่แต่งงานมาแม่ก็เลิกอาชีพครูสอนภาษาจีนมาทำงานบ้านและดูแลลูก แม่จะทำงานบ้านทุกอย่าง
ยกเว้นทำครัว
นอกจากงานบ้าน แม่จะตัดเย็นเสื้อผ้าให้ทุกคนใส่
ถักไหมพรม พ่อทำงานคุมโรงงานทำกระป๋อง
และรับงานออกแบบกราฟิคมาทำที่บ้าน งานออกแบบมักจะเป็นกระป๋องบรรจุปลากระป๋องบ้าง
บิสกิตบ้าง กระป๋องหมูหย๋อง
หมูแผ่น ผมจะเห็นพ่อทำตั้งแต่เขียนแบบ ทำตัวอักษร แล้วก็เขียนภาพโดยใช้สีน้ำ ภาพที่ได้จะนำมาทำเป็นฟิล์ม
และแยกสีด้วยระบบ CYMB เมื่อแบบตรวจอนุมัติแล้วก็จะส่งงานฟิล์มไปทำเพลทและพิมพ์ลงบนกระป๋อง
ภาพข้างล่างเป็นแบบร่างของพ่อที่พ่อเขียนเองก่อนนำไปถ่ายและแยกสีบนแผ่นฟิล์ม

|
My father drawing |
หนทางในม่านหมอกทึบ
เมื่อพ่อผมจากไป ในบ้านเรามีเงินเพียงไม่กี่พันบาท แม่ได้เงินจากค่าช่วยงานเกือบสองหมื่นบาท งานชิ้นที่พ่อทำค้างไว้
เพื่อนของพ่อหาคนหนึ่งมาช่วยสานต่อ
แต่งานของพี่แดงคนที่มาช่วยหยาบมากและถูกแก้งานหลายครั้ง ภายในสามเดือนแรกแม่ผมใช้เงินเหมือนกับสมัยที่พ่อยังอยู่ จำนวนเงินมันหดหายอย่างรวดเร็วจนเราสงสัยว่าเราจะเลี้ยงชีวิตต่อไปได้อย่างไร เราใช้กันเดือนละสามพันกว่าบาทเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว
(รถเมล์ตอนนั้น 50 สตางค์ ก๋วยเตี๋ยวเป็ดชามละ
1.50 บาท) มันมากขนาดสามารถเป็นรายจ่ายของครอบครัว
7 คนได้เลย เราต้องเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตใหม่ รายรับของเราได้จากงานที่นายจ้างของพ่อที่แบ่งงานมาให้ และเขาให้งานเราน้อยลงทุกทีเพราะเนื้องานที่นำไปส่งมีปัญหาบ่อยๆ รายได้ของเราส่วนหนึ่งก็ต้องแบ่งให้กับพี่แดง พี่สาวผมเป็นคนทำงานละเอียด ได้ใช้เวลาตอนเย็นและวันหยุดมาช่วยงานเขียนแบบจนการเรียนแย่ลง
และเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ชีวิตในโลกนี้ไม่ได้ง่าย
และไม่เคยมีใครช่วยครอบครัวเราได้ ลุงของผมเคยลั่นวาจาว่าจะช่วยส่งเสียเลี้ยงดู แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆก็ช่วยอะไรไม่ได้
เพราะลุงก็มีภาระลูกอีก
5 คนที่ต้องดูแล ป้าสะใภ้บอกแม่ผมว่า
ยังคิดจะให้พี่สาวผมเรียนหนังสืออีกหรือ ให้เขาเลิกเรียนและออกมาหางานเป็นเสมียนทำงานเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว แม่ของผมและพี่สาวร้องไห้กันอยู่หลายวัน ในที่สุดเราก็ไม่มีงานป้อนเข้ามา
และคนที่จ้างมาช่วยทำงานก็ย้ายไปทำงานที่อื่น
สองปีแรกเป็นปีที่โหดร้ายมากสำหรับแม่และพี่สาว สำหรับผมแล้วยังไม่ประสีประสาอะไรเลย ผมยังคงผ่านไปแต่ละวันด้วยความสนุกสนาน เมื่อตอนที่พ่อผมเสียใหม่ๆ อาจารย์พิชัยและอาจารย์อัญชลีได้มาเยี่ยมเราและเอ่ยปากที่จะให้ความช่วยเหลือ
แต่แม่ได้ปฏิเสธโดยบอกว่าจะขอเลี้ยงลูกเอง
หากเกินความสามารถจริงๆแล้วจะขอให้โบสถ์ช่วย ก่อนจากไปอาจารย์ได้ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งว่า “มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยคุณได้ เมื่อมีปัญหา
เมื่อทุกข์ใจให้ร้องออกพระนามของพระเยซู” ซึ่งแม่ก็ได้รับคำไว้
ในสองปีแรก
แม่ผมซึ่งไม่เคยไหว้เจ้ามาก่อนเลยในชีวิต ก็ต้องไหว้ทั้งเจ้าไหว้ทั้งพ่อให้ครบธรรมเนียมจีน ส่วนไหว้พระ นำของไปถวายพระทำบุญกรวดน้ำเป็นหน้าที่ของผมและพี่สาว ทุกครั้งที่เราได้งานและจะต้องไปส่งงาน
แม่จะอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยด้วย
รวมทั้งจุดธูปบอกให้พ่อผมช่วยด้วยเช่นกัน ทุกวันพระ ทุกวันครบรอบวันตาย เราเซ่นไหว้พ่ออยู่
7 สัปดาห์ แม่ยังคงไว้ทุกข์ต่อไปอีกสามปีเต็มๆ เราใส่บาตรกันทุกเช้าในระยะเจ็ดสัปดาห์แรก
และใส่บาตรทุกวันพระ บางครั้งเรามีความสามารถทำได้แค่ข้าวหนึ่งชาม
อาจเป็นกับข้าวหนึ่งอย่างที่วางไว้ข้างบน
หรือไข่ทรงเครื่องหนึ่งลูก แม่ผมร้องไห้เป็นปีๆ
บนบานสานกล่าวให้พ่อมาให้เห็นและอยากทราบว่าพ่อสบายดีหรือเปล่าแต่พ่อผมไม่เคยมาเลย เมื่อใกล้จะครบสามปี
แม่บอกพ่อว่า ในเมื่อเธอไม่มาและเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำไปเธอจะได้หรือเปล่า
ฉันคิดว่าฉันไว้ทุกข์พอแล้ว
เมื่อครบสามปี
แม่บอกลูกๆว่าเราจะเลิกไหว้พ่อ
สามปีที่ผ่านมาเราทำกันเต็มที่แล้ว เพื่อนๆพ่อทุกคนและบ้านลุงบ้านน้าต่างไม่เห็นด้วย
เพราะจะทำให้วิญญาณพ่อเป็นผีอดอยาก เราก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าคนนอกครอบครัวเราไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเราเลยแต่ไฉนจึงได้เข้ามายุ่งกับการตัดสินใจของเรา
ปีกที่พยุงขึ้นจากมือที่มองไม่เห็น
ในสองปีแรกแห่งความทุกข์ใจ
พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา พระองค์เริ่มทำงานของพระองค์เงียบๆ มีอยู่วันหนึ่ง
พี่สาวผมไปหาของบนหิ้งข้างฝาในห้องมืด ธนบัตรใบละร้อยบาทใหม่เอี่ยมร่วงลงมาเป็นเงินหลายพันบาท เงินจำนวนนั้นช่วยต่อชีวิตของเราได้อีกหนึ่งเดือน เมื่อมาคิดย้อนหลัง
เราต้องขอบคุณพระเจ้าที่พี่แดงคนที่เราจ้างไว้ไม่ได้หยิบเงินจำนวนนั้นไปทั้งๆที่เขานั่งทำงานในห้องนั้นเป็นปี เมื่องานหมด
แม่ของผมได้คิดว่าจะหางานอะไรทำดี แม่คิดว่าจะหันกลับไปหาอาชีพดั้งเดิมคือสอนภาษาจีน แม่ออกไปหาเพื่อนเก่าที่ใกล้ๆสถานีรถไฟตลาดพลูเพื่อให้เขาช่วยกระจายข่าว การเรียนภาษาจีนเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว
เขาสอนกันทุกวัน จันทร์ถึงศุกร์ ครูจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนละ
180 บาท แต่แม่ผมตั้งเงื่อนไขว่าจะสอนเพียงสัปดาห์ละ
3 วัน และคิดเดือนละ
300 บาท ทุกคนที่ได้ยินพากันส่ายหัวว่าเงื่อนไขเช่นนี้จะมีใครมาเรียน เพื่อนของพ่อรู้สึกเห็นใจแม่จึงได้ติดต่อครอบครัวญาติ บ้านของเขาอยู่แถวศาลาเฉลิมกรุง ทุกคืนวันจันทร์
พุธและศุกร์แม่ผมจะนั่งรถสาย
4 จากบ้านตลาดพลูไปสอนเด็กที่นั่นซึ่งมีอยู่ประมาณ
4-5 คน แม่บ่นว่าเหนื่อยทั้งจากการเดินทาง
และเหนื่อยกับการแก้สำเนียง
เหนื่อยกับการแก้วิธีออกเสียงภาษาจีนกลางของนักเรียน
แต่แม่ก็ไม่ท้อถอย เขาให้ค่าตอบแทนแม่ผมเดือนละ
1200 บาท ซึ่งยังไม่พอกับค่าใช้จ่ายของครอบครัว บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากตลาดนัก ลูกชายของร้านเขียงหมูได้ยินว่าแม่รับสอนภาษาจีน เขามาขอเรียนดูแต่ติว่าแพงมาก เด็กหนุ่มคนนี้เป็นเด็กเข็นและส่งผ้าอยู่ที่สำเพ็ง เมื่อมาเรียนครบเดือนเขาพบว่าตัวเขาพัฒนาไปอย่างมาก แม่ผมไม่ได้สอนตามหนังสือตามบทเรียนอย่างเดียว แต่แม่จะใช้สอนเป็นคำๆ
โดยอธิบายและให้เด็กใช้คำต่างๆที่เรียนมาประสมเป็นประโยคใหม่ จากปากต่อปากและจากพี่น้องในครอบครัวนี้แม่ผมได้เด็กนักเรียนมาเพิ่มอีกโดยจะสอนในวันอังคาร,
พฤหัสและเสาร์ ที่บ้านของเรา
เรามีรายรับประมาณเกือบสามพันบาทซึ่งพอกับค่าใช้จ่ายในบ้าน นับเป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงนำนักเรียนมาแม้ว่าเราจะตั้งค่าตัวในการสอนไว้สูงและเด็กที่มาเรียนที่บ้านกลุ่มนี้ติดตามเรียนอยู่หลายปีจนแม่ของผมเกษียณอายุ
แม่หาเลี้ยงลูกด้วยการสอนภาษาจีน เราไม่เคยอดเลยแม้แต่มื้อเดียว
และไม่เคยเงินขาดมือ แม่ผมคุกเข่าลงอธิษฐานทุกคืนและเริ่มไปโบสถ์ เวลากลางคืนก่อนนอนจะเป็นเวลาที่แม่อธิษฐานยาวมาก คำปรามาสของญาติพี่น้องเป็นแรงผลักดันอย่างมากสำหรับแม่ แม่อธิษฐานขอพระเจ้าให้แม่มีกำลังส่งลูกให้เรียนจนจบปริญญาเอกทั้งสองคน ช่างเป็นคำอธิษฐานที่หาญกล้าเหลือเกินสำหรับหญิงคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย
นอกจากความรักลูก ความมุ่งมั่น
และเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เธออธิษฐานจะเป็นความจริงในวันหนึ่ง บ้านของเราไม่ได้หรูหรา
แต่เราก็มีสิ่งจำเป็นสำหรับพื้นฐานของชีวิตครบ เพื่อนบ้าน มิตรสหายคิดว่าเรามีเหลือใช้
เพราะเสียงเปียโนยังดังจากบ้านเราไม่ขาดสาย แม่และลูกบ้านนี้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่ๆออกจากบ้านเสมอ
เราจ่ายกับข้าวแต่ละครั้งได้ของมาเป็นเข่งๆ
แม่ผมเป็นคนเก่งเรื่องบริหาร
ซึ่งเหมาะกับลักษณะของสังคมในยุคนั้น
เพราะเหมาโหลถูกกว่า
–cheap by dozen
แม่จะซื้อของยกโหล
ยกกุรุท ใครแบกไม้กวาดมาขาย
แม่จะต่อรองราคาแล้วซื้อยกหาบ เราจะมีไม้กวาดใช้ไป
2 ปี เวลาเขามาขายถ่าน
แม่จะซื้อทั้งรถเข็นและเก็บไว้ในโอ่ง แม่ซื้อไม้ขีดไฟครั้งละหีบซึ่งมี
144 กลัก เวลาผ่านไปเกือบสิบปีเราก็ยังใช้ไม้ขีดไม่หมด และไม้ขีดที่เหลือเราจำใจทิ้งไปเพราะหลังคารั่วน้ำฝนตกใส่ กระดาษม้วนทิชชูแม่ก็ซื้อเป็นหีบ น้ำมันพืชเราสั่งกันทีละหนึ่งปีบ ผงซักฟอกก็ซื้อเป็นถัง
เวลาเราไปจ่ายตลาดทุกอาทิตย์
เราจะเหมากะหล่ำปลีครั้งละ
10-12 กิโลกรัม
แม่ผมซื้อหมูครั้งละเป็นกิโล
ฟักทองลูกใหญ่ๆครั้งละ
2-3 ลูก คนแถวบ้านและที่ตลาดวัดกลางจะแปลกใจเพราะที่บ้านเรามีกันแค่สามคน แม่จะซื้อปลาครั้งละมากๆ บางทีก็เหมาทั้งหมด ส่วนหนึ่งเอามาทานสด ที่เหลือแม่จะแล่แล้วตากแห้งเพราะเรามีลานบ้านกว้าง มะเขือเทศทั้งเข่งก็เช่นกันแม่จะตากแห้งไว้แทนของหวาน เราจึงมีมะเขือเทศแห้งเก็บไว้ในขวดกาแฟครั้งละเกือบสิบขวด แม่ผมมีฝีมือทางการตัดเย็บ แม่จะไปซื้อผ้าที่ร้านริมทางรถไฟและจะตัดทั้งเสื้อ
กางเกง กระโปรงนักเรียนให้ลูกๆ เสื้อผ้าสำหรับแต่งตัววันหยุด
แม้กระทั่งชุดราตรียาวสำหรับใส่ไปงานกลางคืน แม่ตัดเสื้อให้ผมใส่จนผมเรียนจบปริญญาโท จนกระทั่งพี่ผมจบปริญญาโทไปบรรจุเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้วแม่ก็ยังตัดเสื้อให้ใส่อีก เวลาแม่ซื้อไหมพรม
แม่จะไม่ซื้อเป็นลูกๆ
แต่จะซื้อเป็นไจใหญ่ ผมมีทั้งเสื้อไหมพรมที่เป็นกั๊ก
เป็นเสื้อสวมหัวแขนยาวและเป็นแจ๊คเกต มีผ้าพันคอ แม่ถักผ้าคลุมไหล่ไว้หลายสี
หลายลายมาก การบริหารเงินแบบของแม่ทำให้เรามีเงินเหลือพอให้ใช้สอยในเรื่องต่างๆ
แม่เลี้ยงลูกให้รักการอ่าน ผมอ่านหนังสือทุกประเภท
ตั้งแต่นิทาน เรื่องแปล
ประชุมพงศาวดาร พระราชนิพนธ์
ปรัชญา บู้ลิ้ม สารานุกรมฝรั่งเป็นชุดๆ นับเป็นพันเล่มก่อนที่ผมจะเข้ามหาวิทยาลัย บางเรื่องก็ยากเกินไป
แต่พระเจ้าทรงให้ปัญญาที่ผมจำได้และกลับมาเข้าใจเมื่อผมมีวุฒิภาวะมากพอ แม่ไม่เคยปฏิเสธรายจ่ายหากสิ่งนั้นพัฒนาความสามารถของลูก ผมเรียนเปียโนจนผมเข้ามหาวิทยาลัย
และพระเจ้าไม่ให้เรามีรายจ่ายเลย พระเจ้าเตรียมครูให้ผมสองคน
ขอบคุณพระองค์ที่ครูของผมมีความอดทนกับผมสูงมากแม้ว่าผมจะเรียนได้อย่างลุ่มๆดอนๆ
เบื่อๆอยากๆ ปี
2517 เมื่อผมอายุ
15 ปี ผมเข้าฝึกหัดเป็นนักเปียโนเพื่อเล่นในเวลานมัสการ และเพียงไม่นานผมก็เล่นประจำทุกอาทิตย์ แม้ว่าผมจะเรียนเปียโนเพียงเกรด
4 เท่านั้นแต่พระเจ้าอวยพรให้ผมพัฒนาทักษะ ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าผมอยู่ในลำดับต้นๆของนักเปียโนที่เล่นเพลง
hymn ในยุคนั้น เมื่อผมสนใจร้องเพลงพระเจ้าก็สรรหาครูที่ดีและเก่งให้กับผม
เมื่อสี่สิบปีที่แล้วเปียโน,
การขับร้องเพลงคลาสิกจำกัดอยู่ในแวดวงคนอีกระดับหนึ่งของสังคมเท่านั้น
ทำให้ผมไม่เคยรู้สึกว่ามีปมด้อยเลย พระเจ้าให้โอกาสผมในการเรียนรู้ศาสตร์หลายแขนง
และให้ของประทานในด้านดนตรี พระเจ้าทรงให้อภิสิทธิ์ผมเช่นเดียวกับลูกของผู้มีอันจะกินคนหนึ่งพึงได้รับ
พี่สาวของผมสอบเข้าเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และเรียนต่อเนื่องไปจนจบปริญญาโท ส่วนผมนั้นเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เราห่างกันสามชั้นปี
ผมเตรียมตัวไปหัดขี่จักรยานเมื่อผมทราบว่าผมสอบติดที่เกษตรฯ เพียงวันเดียวผมก็ขี่จักรยานได้แต่ผมไม่มีจักรยานให้ขี่ ผมไม่รู้จะขอเงินแม่อย่างไรดี ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปาก จักรยานคันละ
450 บาท หากเป็นอย่างดีหน่อยจะตกคันละ
550-650 บาท มหาวิทยาลัยในปี
2520 เป็นปีที่ได้รับเงินจากธนาคารโลกมาพัฒนาสร้างตึก
ตัดถนน การเปิดเรียนในฤดูฝนจึงมีแต่โคลนและตึกเรียนแต่ละหลังก็ห่างไกลกันมาก จักรยานเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ผมเดินอยู่ในสัปดาห์แรกและอาศัยซ้อนจักรยานของเพื่อนบ้าง วันศุกร์นั้นเองที่ผมเจอเฮียเล็กโดยบังเอิญ เฮียเล็กเป็นญาติข้างป้าสะใภ้ผม เข้ามาเรียนชั้นมัธยมปลายที่กรุงเทพฯจึงมาพักที่บ้านลุงผม เมื่อเฮียเล็กเรียนที่เกษตรจึงได้ย้ายมาอยู่หอ เฮียเล็กพาผมไปเลี้ยงข้าวและถามผมว่า
ไม่มีจักรยานหรือ ผมบอกว่าไม่มีครับ ผมไม่ได้พูดอะไรอีก
ไม่ได้พูดแม้กระทั่งว่าไม่กล้าขอแม่ เฮียเล็กบอกผมว่าวันจันทร์ให้ไปที่องค์การฯ
(องค์การนิสิต ที่อาคารเทพศาสตร์สถิตย์) ไปบอกที่โต๊ะรับจองจักรยานว่าเป็นน้องของเฮียเล็ก
จะมาเอารถ จักรยานคันนั้นสีแดงเลือดหมู
เบาะสีม่วง ผมใช้มันตลอดสี่ปีเต็มและได้พึ่งหอเฮียเล็กเป็นที่สิงสถิตย์บ้างเป็นบางครั้ง ด้วยน้ำใจของเฮียเล็ก
พระเจ้าให้จักรยานให้ผมคันหนึ่ง
ในขณะที่เพื่อนผมบางคนไม่มีจักรยานใช้ตลอดสี่ปีต้องพึ่งอาศัยคนอื่น เมื่อผมจบปริญญาตรีผมก็เรียนต่อปริญญาโทที่จุฬาทันที
ภาระรายจ่ายของแม่มีมากขึ้น
แต่พระเจ้าก็ให้มีทางออกเสมอ ความที่แม่เป็นนักบริหาร แม่เก็บหอมรอมริบฝากธนาคารจนมีเงินหลายหมื่นบาท
(ประมาณปี 2524-6 ค่ารถเมล์ขณะนั้นประมาณ
2 บาท และข้าวราดแกงจานละ
10-12 บาท) และสามารถให้เพื่อน
ให้ญาติห่างๆกู้เงิน เงินรายได้จากการสอนหนังสือจีนและเงินดอกเบี้ยนอกระบบรายเดือนที่เราได้มาทำให้เรามีพอที่จะใช้จ่ายในการเรียนของลูกสองคนที่ตึงมือมาก แม่สอนหนังสืออยู่ที่ใกล้ๆศาลาเฉลิมกรุงอยู่หลายปี วันหนึ่งเขาก็บอกแม่ว่าจะเลิกเรียนกัน แม่ผมเป็นทุกข์ใจ
เพราะเป็นรายได้เกือบครึ่งหนึ่ง
แต่พระเจ้าทรงให้เรากังวลไม่นาน วันหนึ่งเจ้าของกิจการน้ำมันพืชและด้ายหลอดเซ่งเฮง
ปัจจุบันคือน้ำมันพืชตราองุ่น ได้มาหาแม่ที่บ้าน เขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของพ่อ
มาเชิญแม่ให้ไปสอนหลานๆของเขาที่บ้าน เขาให้ค่าตอบแทนสองพันกว่าบาทมากกว่าที่ได้รับอยู่ ในวันสุดท้ายที่แม่สอนหนังสือที่ฝั่งพระนคร สัปดาห์รุ่งขึ้นแม่ของผมย้ายมาสอนที่บ้านข้างสถานีรถไฟตลาดพลู แม่ไม่ต้องโหนรถเมล์ไปสอนหนังสือและกลับถึงบ้านดึกๆอีก
แต่สามารถเดินไปสอนหนังสือได้เพราะอยู่ห่างจากบ้านผมเพียงป้ายรถเมล์เดียว และเรามีรายได้เพิ่มมากกว่าที่เดิม
สิบสองปีแรกเป็นเพียงปฐมบทของผม
เมื่อผมเรียนจบปริญญาตรี
ผมไปต่อเรียนปริญญาโท
ผมมีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นพอสมควร ทั้งค่าถ่ายเอกสาร
ค่าตำรา ค่าบำรุงต่างๆ
รวมถึงค่าสังคม ลูกแม่สองคนเรียนปริญญาโทพร้อมๆกัน แต่พระเจ้าให้ครอบครัวเรามีรายได้อย่างคาดไม่ถึง หลานชายคนโตของเจ้าสัวที่แม่ไปสอนภาษาจีนมีผลการเรียนที่อ่อนมาก เขาทาบทามให้ผมไปสอนพิเศษตอนหัวค่ำ โดยเขาจะเรียนภาษาจีนวันจันทร์,พุธ,
ศุกร์ และผมจะติววิชาที่โรงเรียนให้ในวันอังคาร,
พฤหัส,เสาร์ ผมได้ค่าตอบแทนมาเดือนละ1,300 บาท
ไม่นานหลังจากที่ผมได้งานสอนพิเศษ
ระบบของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่างๆก็ล่ม เงินของเราส่วนหนึ่งติดอยู่ในทรัสต์ แม่ของผมเป็นกังวลใจมาก เพื่อนพ่อที่ยืมเงินเราไปลงทุนก็จากไปด้วยโรคมะเร็ง ส่วนญาติอีกคนหนึ่งที่ยืมเงินเราไปเปิดร้านแว่นตาที่สยามสแควร์ก็หนีเพราะธุรกิจล้ม เวลานั้นเราไม่เข้าใจอะไรมากนัก
แต่เมื่อผมมาย้อนกลับไปคิดดู พระเจ้ากำลังให้บทเรียนกับครอบครัวเรา เรากำลังวางใจกับทรัพย์สินที่มีเพิ่มขึ้น
และเราพึ่งพระองค์น้อยลง
เรากำลังรู้สึกหยิ่งผยองว่าลูกของแม่อีกไม่นานจะมีดีกรีปริญญาโทพ่วงท้าย พระเจ้ากำลังเตือนเราว่าให้พึ่งพระองค์
ให้วางใจในพระองค์ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง สิ่งที่เรียกว่าทรัสต์ของโลกนี้มันวางใจไม่ได้
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่เราจะวางใจและพึ่งพิงได้ แม่ผมใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่จะทำใจได้กับเงินที่สูญหายไป และเมื่อเวลาผ่านไปเราก็ได้รับเงินคืนจากธนาคารเป็นงวดๆ ส่วนลูกและภรรยาของเพื่อนพ่อก็คืนเงินต้นให้กับเราจนหมดสิ้น
หากเขาจะไม่คืนเราก็ย่อมทำได้เพราะการยืมเงินในสมัยนั้นใช้เช็คเซ็นต์ค้ำไว้และมันหมดอายุไปแล้ว
คงเหลือไว้แต่เงินที่ญาติขอยืมไปลงทุนเท่านั้นที่หมดไป แม้ว่าพระเจ้าจะให้บทเรียนแต่พระองค์ก็เตรียมทางอีกสายหนึ่งไว้ให้เรา
ให้ผมได้งานพิเศษทำเกือบสองปี ในที่สุดพี่สาวของผมก็เรียนจนจบปริญญาโทเคมีที่จุฬาฯ เขาสมัครรับราชการและได้บรรจุที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ส่วนผมเรียนปริญญาโทขึ้นปีที่สาม และแล้วข่าวร้ายก็กระหน่ำเข้ามาในครอบครัวของเราอีกระลอกหนึ่ง เจ้าสัวจะส่งลูกไปเรียนหนังสือที่ฮ่องกง เขาเลิกจ้างผมเมื่อปิดเทอมใหญ่ไปก่อนหน้านี้
และเขาจะเลิกจ้างแม่ของผมในอีกไม่นานข้างหน้า การบรรจุราชการกว่าที่เขาจะตั้งเรื่องเบิกเงินเดือนก็ใช้เวลานานห้าหกเดือน ในระหว่างนั้น
พี่สาวของผมไปทำงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน ในเดือนสุดท้ายที่แม่ผมรับเงินเดือนจากเจ้าสัว เงินเดือนของพี่สาวผมตกเบิกในเดือนถัดไป
และเป็นปีที่แม่ผมอายุครบหกสิบปีพอดี
เกษียณอายุการทำงาน พระเจ้าทรงเลี้ยงดูครอบครัวของเราไม่ให้เงินขาดมือเลย หากใครจะบอกว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ผมก็มีเรื่องบังเอิญทำนองนี้เล่าให้ฟังต่ออีกนับไม่ถ้วน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พ่อผมจากไป 10 ปีเต็มๆพี่สาวผมจบปริญญาโทและทำงาน ส่วนผมเรียนจบในอีกสองปีต่อมา
และผมคิดว่าผมมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว ผมไม่รู้ตัวเลยว่าที่พระเจ้านำมานี้เพียงแค่บทเริ่มต้นเท่านั้นเอง
ที่อยากได้กลับไม่ได้
|