สำหรับ workshop ค่าย
Love & Care
การบริหารคืออะไร
มนุษย์มีการรวมกลุ่มกันเพื่อผลักดันกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งให้ประสพความสำเร็จตามเป้าหมาย และเนื่องจาก
มนุษย์ไม่สามารถก้าวสู่ความสำเร็จโดยลำพังตัวคนเดียวได้ ดังนั้น “การบริหาร หรือ
การจัดการ” จึงเป็นสิ่งสำคัญในการรวมกลุ่มของบุคคลเพื่อผลักดันให้บรรลุสู่เป้าหมาย
การจัดการ
(management) เป็นกระบวนการออกแบบ
และจัดสภาวะแวดล้อมเพื่อให้กลุ่มบุคคลสามารถทำงานร่วมกันได้
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผู้อธิบายความหมายของ”การจัดการ” อีกนัยหนึ่งคือ
กระบวนการเกิดขึ้นเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร
ซึ่งประกอบด้วย การวางแผน
(planning) การจัดองค์กร
(organizing) การนำ (leading) และการควบคุม
(controlling) มีผู้รู้
(guru) ต่างให้แนวคิดในการบริหารจัดการเป็นทฤษฎีต่างๆมากมาย
ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และปริมาณ
เชิงพฤติกรรมศาสตร์
แล้วแต่ว่าทฤษฎีเหล่านั้นจะมองปัจจัยใดเป็นประเด็นหลัก
แต่ทฤษฎีเหล่านั้นต่างมีส่วนสอดคล้องกับกระบวนการสิ่งที่นำมาเรียบเรียงในที่นี้
การจัดการเป็นกิจกรรมที่สำคัญในทุกระดับขององค์กร
โดยมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน เป้าหมายของธุรกิจคือ
กำไรและการเพิ่มค่าของทุนในระยะยาว เป้าหมายของผู้บริหารคือ
ส่วนเกิน (surplus) โดยใช้เวลา ใช้วัตถุดิบ
ใช้บุคลากร และทรัพยากรต่างๆให้น้อยที่สุดเพื่อความสำเร็จตามเป้าที่วางไว้ ในความหมายนี้จึงประยุกต์ใช้ได้กับองค์กรที่ไม่มีเป้าหมายของธุรกิจมาเกี่ยวข้อง จุดมุ่งหมายของผู้บริหารทุกคนคือ
ต้องการมีผลผลิต ต้องการเพิ่มผลผลิตเพื่อบรรลุอัตราส่วนระหว่างผลผลิตต่อปัจจัยนำเข้า ซึ่งการเพิ่มผลผลิตหมายถึงความมีประสิทธิผล
(บรรลุวัตถุประสงค์)
และความมีประสิทธิภาพ
(การใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด)ขององค์กร
การวางแผน
(planning)
การวางแผนเป็นขั้นแรกของกระบวนการบริหาร ประกอบด้วยการกำหนดภารกิจ
(mission) วัตถุประสงค์
(objectives) และแผน (plans)
ภารกิจสามารถใช้อธิบายจุดมุ่งหมายพื้นฐานขององค์กร โดยบ่งบอกถึงผลลัพธ์ที่องค์กรต้องการด้วยวัตถุประสงค์
ส่วนแผน
เป็นวิธีการให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ช่วยให้ผู้บริหารทราบเกี่ยวกับการปฏิบัติการที่จะเกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร แผนจะช่วยสั่งการและประสานงานกิจกรรมต่างๆเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารเป็นผู้กำหนดแผน
และการกำหนดแผนต่างๆต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นจริง มีคำถามที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ
ผู้บริหารจะได้ข้อมูลที่เป็นจริงมาได้อย่างไร
พระเยซูเป็นนักวางแผนชั้นเยี่ยม เราสามารถสังเกตได้จากการที่พระองค์ใช้อัครทูตออกไปสั่งสอน
(มธ. 10:5-14) โดยตั้งเป้าหมายว่าสั่งสอนเฉพาะวงศ์วานอิสราเอล กำหนดเรื่องที่จะสอน กำหนดภารกิจ กำหนดวิธีของการสั่งสอนว่าต้องทำอะไรบ้าง กำหนดเครื่องมือ
อุปกรณ์ที่ควรนำไป กำหนดสถานที่และวิธีเลือกกลุ่มเป้าหมาย คาดการณ์ล่วงหน้าและกำหนดทางเลือกปฏิบัติอื่นๆไว้ ธุรกิจในปัจจุบันนี้ต่างเล็งเป้าไปที่ความพึงพอใจของลูกค้าต่อสินค้าและบริการโดยที่ลูกค้าสามารถต่อสายตรงผู้บริโภคเข้าไปร้องเรียนเรื่องคุณภาพและการบริการถึงระดับผู้บริหาร ในโลกยุคนี้
อาจกล่าวได้ว่าการบริการนำหน้าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์เลยทีเดียว
เนื่องจากเทคโนโลยีก้าวทันกันหมดทำให้คุณภาพของสินค้าแทบไม่มีความแตกต่างกัน ประกอบกับความสำเร็จในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆได้ครบถ้วน ดังนั้น การบริการจึงเป็นจุดขายที่ใช้จำแนกความแตกต่างอย่างชัดเจน อะไรคือสุดยอดของการบริการ สุดยอดของการบริการในพระคัมภีร์ปรากกอยู่ในลูกา
10:29-37 เมื่อชาวสะมาเรียเข้าช่วยเหลือชายผู้เคราะห์ร้ายบาดเจ็บ รักษาพยาบาล จัดหาที่พักให้ นับเป็นกลยุทธ์การบริการที่เหนือความคาดหมาย สามารถมัดใจลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่น
การจัดองค์กร
(organizing)
การจัดองค์กร
คือกระบวนการที่กำหนดกฎ
ระเบียบ แบบแผน ในการปฏิบัติงานขององค์กร องค์กรในที่นี้หมายถึงกลุ่มบุคคล
2 คนขึ้นไปที่มีความผูกพันกัน
ใช้ความพยายามหรือความสามารถร่วมกันในการผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ดังนั้น จึงเป็นความพยายามของผู้บริหารในการจัดบุคคลากรที่เหมาะสมเข้ารับงานโดยกำหนดขอบเขต
อำนาจหน้าที่ในกาปฏิบัติงาน
และให้ใช้ทรัพยากรต่างๆอย่างระมัดระวัง ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องวางโครงสร้างขององค์กรที่แน่นอน
เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบถึงอำนาจหน้าที่ของตนในการปฏิบัติงาน
และระบุถึงขอบเขตความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลที่ทำงานร่วมกัน
ทั้งนี้เพื่อความเป็นระเบียบและไม่มีการทำงานซ้ำซ้อน รูปแบบของการจัดองค์กรขึ้นกับความเหมาะสมของสถานการณ์และสภาวะแวดล้อม ได้แก่ ขนาดขององค์กร
แนวทางของธุรกิจ ความซับซ้อนของงาน
คริสตจักรในเมืองโครินธ์
เป็นคริสตจักรใหญ่ ประกอบด้วยสมาชิกที่หลากประสบการณ์จนเกิดปัญหาความไม่ลงรอยกัน
(1คธ 12:12-31) อ.เปาโลใช้ร่างกายมนุษย์มาเป็นตัวอย่างอธิบายบทบาทหน้าที่ของแต่ละตำแหน่งในองค์กรได้อย่างแยบยล ทุกตำแหน่งมีความสำคัญเท่ากัน
เพียงแต่ว่าแต่ละตำแหน่งมีหน้าที่
ความรับผิดชอบและขอบเขตของงานแตกต่างกัน ในโลกแห่งการแข่งขันใบนี้ การตัดสินใจอย่างฉับไว ขนาดเม็ดเงินลงทุน ความต้องการในการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลา
ทำให้การจัดองค์กรยุคใหม่เตี้ยลงทุกทีในลักษณะแบนราบเป็น
flatten organization ทุกๆหน่วยต่างมีบทบาทร่วมกันรับผิดชอบต่อความอยู่รอดขององค์กรนั้นในลักษณะที่เรียกว่า
cross-functionality ตัวอย่างลักษณะขององค์กรยุคใหม่นี้เทียบชั้นได้กับกลุ่มเซลในคริสตจักร เซลหนึ่งเซลสามารถอยู่รอด
มีกิจกรรมเบ็ดเสร็จและมีประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์เหนือกว่าระบบคริสตจักรที่ซับซ้อนและเชื่องช้า ธุรกิจที่จัดโครงสร้างแบบแบนราบย่อมได้เปรียบเหนือธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งในความยืดหยุ่นของการจัดองค์กรและปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์อย่างแน่นอน
การจัดหาบุคคล
(staffing)
การจัดหาบุคคล
เป็นกระบวนการคัดเลือกคนเข้าทำงานตามโครงสร้างองค์กรและแผนกำลังพล
โดยรวมถึงการแต่งตั้ง
การประเมินผล การเลื่อนตำแหน่ง
การให้รางวัล การฝึกอบรม
เพื่อที่ทำให้วัตถุประสงค์ขององค์กรสำเร็จตามแผนปฏิบัติ
เวลาที่โมเสสแต่งตั้งพวกตุลาการนั้น
(ฉธบ 1:13-15) ท่านได้เลือกจากคนหมู่ใหญ่ เลือกที่เหมาะสมกับงาน มีประสบการณ์กับงานนั้น พระคัมภีร์ในหลายๆตอนเลือกคนเข้าทำงานโดยดูจากสติปํญญา
อุปนิสัยและจิตใจ การยอมรับจากคนหมู่ใหญ่
(1 ทธ 3:2-5) คุณสมบัติเหล่านี้กอปรกันเข้าเพื่อว่าคนๆนั้นจะพร้อมทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ การทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นทีมงานย่อมสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลแก่งานนั้นมากกว่าองค์กรที่ประกอบด้วยการมีคนเก่งที่ปีนเกลียวกันตลอดเวลา คำสอนเรื่องเชือกสามเกลียวจึงชัดเจนและไม่ต้องการคำอธิบายอะไรเพิ่มไปจากนี้สำหรับความหมายของการทำงานเป็นทีม
(ปญจ 4:12 )
ผู้บริหารต้องรู้และเข้าใจข้อจำกัดของแต่ละคน พระเยซูยกอุปมาจากสิ่งใกล้ตัวว่าเมล็ดพืชที่ตกอยู่ในดินดีก็ย่อมเกิดผล
(มธ 13:3-8) เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องสร้างคน สร้างสิ่งแวดล้อมและโอกาสในการที่ให้ทุกเมล็ดตกในดินดีเพื่องานจะเกิดผล การฝึกอบรมให้ทักษะในการทำงานแก่พนักงานเป็นการย้ายเมล็ดจากพื้นหิน
จากที่ดินน้อยไปยังที่ๆ
อุดมสมบูรณ์
พระเยซูยังยกอุปมาต่อไปอีกว่า
ตะเกียงต้องตั้งบนเชิงตะเกียงให้ส่องสว่าง
(ลก 8:16) นั่นหมายความว่าลูกน้องที่ดีและเก่งย่อมเป็นที่เชิดหน้าชูตาของหน่วยงานนั้น เขาควรได้รับการสนับสนุนเลื่อนตำแหน่งตามสมควร องค์กรทุกวันนี้ต้องการทั้งคนดีและคนเก่งในคนๆเดียวและคนเช่นนั้นไม่ควรที่ผู้บริหารจะเอาถังครอบเขาไว้หรือซุกเขาไว้ใต้เตียง องค์กรต้องมีการให้รางวัลแก่คนเก่งและคนดียกย่องคนดีเพื่อเป็นตัวอย่าง
เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่คนทำงาน
และนำไปสู่การชักนำให้บรรลุจัดมุ่งหมายดังจะได้กล่าวต่อไป
การชักนำ
(leading)
การชักนำเป็นกระบวนการชักนำบุคคลให้ตอบสนองโดยการกระตุ้นความต้องการและความคาดหวังต่างๆเพื่อให้บุคคลเกิดความคิดริเริ่ม
ควบคุม รักษาพฤติกรรมและการกระทำ นักจิตวิทยาได้พยายามศึกษาว่ามีปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของบุคคล และเชื่อว่าแรงจูงใจเป็นพื้นฐานในการปรับปรุงพฤติกรรมของมนุษย์ เทคนิคต่างๆที่ใช้ในการจูงใจได้แก่
ค่าตอบแทน การมีส่วนร่วม
และคุณภาพชีวิตการทำงาน เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องสร้างแรงจูงใจและมีอิทธิพลต่อบุคคลอื่นเพื่อกระตุ้นนำให้เกิดความร่วมมือในองค์กรอันจะนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของรูปแบบการทำงานคือ
การทำงานเป็นทีม
ในพระธรรมโยชูวา
บทที่ 1 ข้อ 1-9 เป็นตัวอย่างที่
พระเจ้าทรงชักนำโยชูวาในการนำชนชาติอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินแห่งพันธสัญญา
ทรงตั้งคำมั่น ทรงตั้งเงื่อนไข
และสร้างขวัญอย่างน่าประทับใจ ถัดมาในข้อ
12-18 โยชูวาได้ถ่ายทอดสิ่งที่พระเจ้าสัญญาเพื่อชักนำบรรดาชาวอิสราเอลเข้าสู่จุดมุ่งหมายที่วางไว้ สิ่งที่ชักจูงล้วนหลีกหนีไม่พ้นการมีส่วนได้และการมีส่วนร่วมของทุกคน เป็นบทเรียนของผู้บริหารที่ว่า
เงินไม่อาจซื้อหรือชักจูงทุกสิ่งได้
แต่สิ่งที่ออกมาจากใจย่อมชักนำให้สำเร็จได้
‘อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย
เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด
เราจะอยู่กับเจ้า’ ผู้บริหารควรเรียนรู้การเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาตามอย่างผู้บริหารสะมาเรีย ดังที่ได้กล่าวว่าไม่มีการชักนำใดจะได้ผลดีไปกว่าการชักนำผู้ร่วมงานด้วยใจคือ
การปฏิบัติต่อผู้ร่วมงานเสมือนเขาเป็นเพื่อนบ้านของเรา
(ลก 10: 29-37) เนหะมีย์หนุนใจประชาชนให้สร้างกำแพงใหม่
(นมย 2:17-18) เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการชักนำ เขาอ้างความรักชาติ
พระเกียรติของพระเจ้าและคำสัญญาที่พระเจ้าจะช่วยในการสร้างกำลังใจ และเขาประสบความสำเร็จจนเกียรติประวัติได้รับการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์
กระบวนการสื่อสาร
มีความสำคัญต่อการชักนำเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นการเคลื่อนย้ายความคิด
ข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับ ความล้มเหลวของการสื่อสารภายในองค์กรทำให้ข้อมูลถูกบิดเบือนไป
ผู้บริหารไม่ได้รับข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริงทำให้เกิดการตัดสินใจและการวางแผนที่ผิดพลาด การสื่อสารควรมีในทุกระดับชั้น
ทั้งในแนวนอนและในแนวตั้ง
และไป-กลับในทุกทิศทาง
การควบคุม
(controlling)
การควบคุมเป็นกระบวนการที่ประกอบกันขึ้นจากการตรวจสอบและการแก้ไขการทำงาน เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรได้นำแผนที่วางไว้มาปฏิบัติและผลการปฏิบัตินั้นสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายและสอดคล้องกับภารกิจขององค์กรที่วางไว้ ดังนั้นในกระบวนการควบคุมจึงได้มีการกำหนดมาตรฐาน
(specification)
มีการวัดผลของงานเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานที่กำหนดดังกล่าว
และมีการปฏิบัติการแก้ไขเมื่อพบการเบี่ยงเบนออกไปจากวัตถุประสงค์ของงาน ผู้บริหารสามารถนำข้อมูลผลการตรวจสอบมาวิเคราะห์เพื่อใช้ในการพยากรณ์การดำเนินไปขององค์กรหรือธุรกิจ และนำกลับมาใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจและการวางแผนต่อไป
มีพระคัมภีร์หลายตอนที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและการแก้ไข การที่มีต้นข้าวละมานปะปนอยู่ในแปลงข้าวสาลีก็ดี
(มธ 13:24-30) การที่อวนลากเอาปลาชนิดต่างๆปะปนกันขึ้นมาก็ดี
(มธ 13:47-48) ถ้าผู้ปฏิบัติงานไม่ได้ใส่ใจ ผู้ควบคุมไม่ได้ตรวจสอบแล้ว จะบรรลุจุดมุ่งหมายของงาน
ไม่ได้เพราะจะมีของเสียปะปนมาในผลิตภัณฑ์ที่ดีเสมอ จำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไข ซึ่งแนวทางในการแก้ไขมีหลายอย่างต้องเลือกให้เหมาะสมและใช้ในขั้นตอนที่เหมาะสม การถอนต้นกล้าอาจถอนเอาต้นข้าวสาลีออกมาด้วย ดังนั้น การรอถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้วถึงจะแยกกองข้าวออกจากกันย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะประหยัดเวลาและใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด พระเยซู รักษาเด็กผีเข้า
(มก 9:14-29) เป็นกรณีศึกษาในเรื่องการควบคุมได้เป็นอย่างดี เมื่องานไม่บรรลุเป้าวัตถุประสงค์ พระเยซูได้ซักถามหาข้อมูลว่าเป็นผีชนิดใด
มีอาการอย่างไร เกิดมานานเท่าไร พระองค์วิเคราะห์วิธีการทำงานและความเชื่อของผู้ปฏิบัติงาน แก้ไขสิ่งผิดพลาดและให้การฝึกอบรมถึงเรื่องของการใช้ความเชื่อและการอธิษฐาน ในหลายๆครั้งที่เกิดปัญหา
ผู้บริหารต้องมีการตัดสินใจที่ฉับไว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดปัญหาใหญ่ก่อนที่จะลุกลามออกไป พระเยซูใช้ความเด็ดขาดและสิทธิอำนาจในการชำระพระวิหาร การตัดสินใจและการใช้อำนาจของผู้บริหารต่อภารกิจและจุดมุ่งหมายขององค์กรเป็นสิ่งที่สำคัญและเร่งด่วนเช่นเดียวกับการรื้อถ้ำของพวกโจรเพื่อถวายพระนิเวศคืนแด่พระเจ้า
(มก 11:15-17)
คุณสมบัติอื่นๆที่ผู้บริหารควรมีตามพระคัมภีร์
- ความตั้งใจมั่น ด้วย ‘ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้แล้ว ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งสู่หลักชัย’ (ฟป 3:13-14)
- ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ สัตย์ซื่อกับหน้าที่เหมือนทหารที่เข้าประจำการ เสมือนนักกีฬาที่เล่นตามกติกา
(2ทธ 2:4-5)
- แสดงออกซึ่งความชื่นชมยินดีอยู่เสมอกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
มีใจอ่อนสุภาพเป็นที่ประจักษ์ ผู้บริหารคงไม่อาจเสแสร้งเช่นนั้นได้ถ้าไม่ได้มีการอธิษฐาน
การวิงวอนและการขอบพระคุณตลอดชีวิตการทำงาน
ของเขา (ฟป
4:4-7)
- ทำงานด้วยความชื่นบานเหมือนได้ทำเพื่อปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า
(อฟ 6:5-7)
- เป็นแบบอย่างในการดีทุกสิ่ง โดยเฉพาะในการสอน
การรักษาคำมั่น การใช้วาจาเพื่อไม่ให้ผู้ใดตำหนิได้
(ทต 2:7-8)
คำส่งท้าย
การบริหารตามหลักของพระคัมภีร์ที่ได้เขียนขึ้นนี้ ข้าพเจ้าได้ค้นหาพระคัมภีร์มาสนับสนุนหลักการบริหารในทศวรรษนี้ มีตัวอย่างในพระคัมภีร์มากมาย
สุดที่จะค้นมาได้หมด สิ่งนี้ยืนยันได้ว่าพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือที่ล้าสมัยในโลกธุรกิจ พระคัมภีร์เป็นจดหมายเหตุเล่มใหญ่ที่บันทึกหลักวิชาการบริหารและการจัดการมาหลายพันปีแล้ว พระเยซูได้ใช้วิธีการบริหาร
ใช้วัฒนธรรมของคนในสมัยนั้นมาสร้างเป็นอุปมาให้ผู้คนได้เข้าใจถึงแผนความรอดของพระเจ้า วิธีการทำงานและแผนกลยุทธ์ที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ล้วนแสดงถึงความเป็นนักบริหารมือหนึ่งอย่างน่าเลื่อมใสทีเดียว
วันนี้ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะตำแหน่งใดก็ตาม เราไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากปฏิบัติหน้าที่ของเราให้เต็มกำลังเสมอ รากฐานมีสองชนิด
อย่างหนึ่งตั้งอยู่บนศิลา
อีกอย่างหนึ่งตั้งอยู่บนดินที่ไม่ก่อราก ทุกคนมีสิทธิ์เลือกได้เพียงอย่างเดียว คนฉลาดย่อมเลือกที่จะก่อร่างขึ้นบนศิลา ในบางครั้งที่เราอาจรู้สึกว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรม สิ่งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นกับเราแต่เพียงผู้เดียว แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว ทุกอย่างมีวาระและเป็นอนิจจัง ปัญญาจารย์จึงกล่าวเตือนไว้ว่า
“จงยำเกรงพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์
เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง
ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงานทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง
ไม่ว่าดีหรือชั่ว” (ปญจ 12:13-14)
คนโฑหรือกระบวย
วันที่ผมขึ้นไปเที่ยวบนวัดพระธาตุดอยเวียง ผมเห็นคนโฑน้ำหลายใบตั้งอยู่ข้างพระพุทธรูปและมีกระบวยไม้ขุด ผมจำได้ว่าตอนผมเป็นเด็กที่บ้านก็มีคนโฑน้ำแบบนี้
และต่อมาคุณตาก็เอามาให้อีกใบหนึ่งเป็นสีดำ ผมพยายามนึกอยู่ว่ามันหายไปไหนหมด ผมคงต้องไปค้นหาออกมาเสียแล้ว
ทั้งคนโฑและกระบวยไม้เป็นภาชนะใส่น้ำ คนโฑน้ำปั้นขึ้นจากดินและเผาจนสุก ช่างที่ปั้นคนโฑมักจะทำลวดลายไว้บนคนโฑและเมื่อเผาเสร็จแล้วก็จะมีการนำมาย้อมเป็นสีแดงบ้าง
ดำบ้าง ปากคนโฑมักจะทำไว้แคบเพื่อให้น้ำที่เก็บไว้ไม่ระเหยออกไปง่าย น้ำที่เก็บไว้ในภาชนะดินเผาจะเย็นเพราะเนื้อดินมีรูพรุนที่จะให้น้ำระเหยผ่านพื้นผิวดินเผาได้ การระเหยเป็นการคายความร้อนแฝงในขณะที่น้ำเปลี่ยนสถานะ
กระบวยไม้
มีรูปทรงคล้ายกับโถปั่นน้ำผลไม้
คือมีเชิง มีหูจับ ทำจากไม้ท่อนเดียวที่นำมาขุดจนได้รูปร่าง โดยส่วนใหญ่กระบวยจะมีผิวที่หยาบเห็นลายไม้ชัด
และไม้จะแห้งและหดตัวแข็งเต็มที่ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป กระบวยไม้นอกจากจะไว้ตักน้ำแล้วยังนำไปใช้ตวงของอื่นๆได้ด้วย
ผมเห็นทั้งคนโฑน้ำและกระบวยไม้วางอยู่ด้วยกัน ทั้งสองสิ่งสามารถบรรจุน้ำได้เหมือนกัน ดินที่เผาด้วยอุณหภูมิสูงหากรีบนำออกจากเตาเพื่อลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วมักจะแตกและไร้ค่า แต่หากบ่มไว้ให้สุกจนได้ที่แล้วจะได้เนื้อที่แกร่ง
เนื้อของคนโฑจึงแข็ง
มีความหนาแน่นกว่าไม้เป็นไหนๆ และนอกจากนี้ในเนื้อดินเผาก็ยังมีรูพรุนให้เก็บน้ำได้ แต่เนื้อดินเผาที่แข็งแกร่งกว่าเนื้อไม้นั้นกลับเปราะหากได้รับแรงกระแทกหรือทำตกมักจะแตก กระบวยไม้ทำจากวัสดุที่เป็นไม้ หากใช้ไม้เนื้ออ่อนมาแกะก็จะทำการแกะได้ง่ายแต่เนื้อไม้จะแตกตามแนวยาวเมื่อไม้แห้งและหดตัว กระบวยที่แกะจากไม้เนื้อแข็งจึงทนทานกว่า ความแข็งของเนื้อไม้ทำให้แกะและกลึงยากกว่า ไม้มีความถ่วงจำเพาะต่ำจึงทำให้เบาและลอยน้ำ โอกาสที่จะตกแล้วแตกก็มีน้อยกว่าที่เป็นดินเผา แมลงหลายชนิดเช่นมอดปลวกสามารถทำลายไม้เนื้ออ่อนได้ แม้มันไม่สามารถทำลายไม่เนื้อแข็งเช่นไม้สักได้ก็ตาม
แต่ไม้ก็สามารถติดไฟได้
น้ำที่อยู่ในกระบวยไม้ระเหยเร็วกว่าน้ำในคนโฑเพราะปากกระบวยกว้าง เนื้อไม้ไม่มีรูพรุนทำให้น้ำที่เก็บอยู่ในกระบวยไม่เย็นเช่นน้ำในคนโฑ
คนเรามีหลายประเภท
หลายคนที่เราเห็นว่าเขาแกร่งแต่กลับเป็นคนเปราะบางเหมือนคนโฑ บางคนที่ดูหยาบกระด้างเช่นลายไม้กลับแกร่งกว่าที่เราคิด
สามารถเอาตัวรอดลอยผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายได้เหมือนไม้ที่ลอยน้ำ เรามักเห็นผู้ใหญ่ที่ผ่านประสพการณ์ชีวิตมีท่าทีที่สงบเยือกเย็นแกร่งเหมือนคนโฑ
แต่การแสดงออกก็นิ่งเย็นเหมือนน้ำที่รินออกมา
เราจะเห็นคนหลายคนไม่ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต
ปล่อยให้มอดปลวกมากัดกินและกร่อนไปจนกลายเป็นคนใช้การไม่ได้ บางคนนำชีวิตเข้าไปเสี่ยง
ไม่ว่าจะเป็นการพนัน
ยาเสพติดเหมือนเล่นกับไฟ
เรามักได้ยินคำคมที่กล่าวว่า
“ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้
แต่เลือกที่จะเป็นได้” เราแต่ละคนได้รับการเสริมสร้างขึ้น
บ้างก็เป็นคนโฑ, บ้างก็เป็นกระบวยไม้ ประสพการณ์ทำให้มีคุณสมบัติทางสติปัญญา,
อารมณ์และพฤติกรรมต่างกันออกไป แน่นอนที่บางอย่างเป็นจุดเด่นที่ดีและมีบางอย่างกลับเป็นจุดด้อย ไม่มีอะไรที่จะมาวัดว่าคนโฑหรือกระบวยจะดีไปกว่ากัน
หรือมีคุณค่ามากกว่ากัน แต่อยู่ที่ในสถานการณ์ใดอันไหนจะใช้งานได้เหมาะสมกว่ากัน คงไม่มีใครใช้คนโฑไปตักน้ำใส่ตุ่ม
และไม่มีใครใช้กระบวยไม้มาเก็บน้ำไว้ต้อนรับแขก ถ้าโลกนี้มีแต่คนโฑจะเป็นเช่นไร
และถ้ามีแต่กระบวยจะเป็นเช่นไร การเลือกทำสิ่งที่เหมาะกับตัวเราเองย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การที่เรารู้ว่าจุดเด่นของเราอยู่ที่ไหนจะช่วยให้เราพัฒนาและใช้มันไปในทางที่ถูกจะเป็นประโยชน์กับตัวเราและสังคมที่เราอยู่
การยอมรับในจุดด้อยของเราและการชื่นชมกับจุดเด่นที่คนอื่นมีจะทำให้ชีวิตเราอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข
ทั้งคนโฑและกระบวยไม้ก็มีคุณค่าในตัวมันเอง
จึงไม่น่าประหลาดใจอันใดที่น้ำในภาชนะทั้งสองมีรสชาติที่แตกต่างกัน เคมีของน้ำยังประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและออกซิเจนไม่เปลี่ยนแปลง
แต่คุณสมบัติทางกายภาพของน้ำต่างหากที่ไม่เหมือนกัน
I
am sailing
(July 01,
2007)
เช้าวันหนึ่ง ผมได้มีโอกาสยืนอยู่หน้าเวิ้งอ่าวที่อ่างศิลา ท้องฟ้าสีครามสดใส น้ำลดต่ำจนมองเห็นโขดหินและโคลนยาวหลายกิโลเมตร เรือจอดเรียงกันเป็นตับอยู่บนเลนสองข้างท่าเรือที่ยื่นออกไป เรือประมงเหล่านี้รอเวลาน้ำขึ้นที่จะนำเรือออกจากฝั่งอีกครั้งหนึ่ง วินาทีนั้นผมนึกถึง
I am sailing, I am sailing, Home again cross the sea
ร๊อด
สจ๊วต ร้องเพลงนี้ได้อย่างน่าประทับใจ เมื่อพิเคราะห์ดูเนื้อเพลงแล้ว
คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนเขียนเนื้อเพลงนี้เขียนบนความเชื่อของคริสเตียน เรากำลังล่องเรือกลับบ้าน
ข้ามฝั่งนทีสีทันดรเพื่อสู่การพักพิงนิรันดร์ การเดินทางของชีวิตไม่ได้เรียบง่ายเลย เราต้องฝ่าคลื่นลมประคองนาวาชีวิต
คงไม่มีใครสามารถปฏิเสธที่จะไม่ลงเรือได้
แต่จะข้ามฝั่งให้ปลอดภัยอย่างไรได้ สำหรับความเชื่อของคริสเตียนนั้น
เราข้ามฝั่งเพราะเรามีความหวังรอเราอยู่เบื้องหน้า
เป็นที่ซึ่งเราจะได้พักแนบใกล้และได้รับการปลดปล่อย มีคำพูดประโยคหนึ่งที่มักได้ยินกันเสมอว่า
“Life is tough” นั่นเป็นความจริงที่เราทุกคนเผชิญหน้ากับความโหดร้ายที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าความอดอยาก
การแก่งแย่ง การเอารัดเอาเปรียบ
ความเห็นแก่ตัวลำพังเพียงแค่ปากท้องพอรับประทานไปวันหนึ่งๆก็ลำบากพอสมควรแล้ว
แต่เรายังถูกกฏเกณฑ์และวัฏจักรของคนบางกลุ่มผลักดันให้เราเข้าไปอยู่ในวงจรของสังคม ผู้เขียนเพลงนี้จึงพูดถึงความเป็นไท
และอิสระที่เขาใฝ่หา อิสระนั้นไม่เพียงฝ่ายร่างกายเท่านั้น
แต่เป็นอิสระทางฝ่ายจิตวิญญาณ คริสเตียนเชื่อว่า
การได้พบพระเจ้าผ่านคนกลางที่ชื่อเยซูจะนำเรากลับบ้าน
เป็นบ้านแรกเริ่มตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมา เป็นสังคมครอบครัวดั้งเดิมที่มีความรัก
และความเชื่อวางใจ อิสระนั้นคือการที่เราได้รับการปลดปล่อยจากทาสความบาปนั่นเอง
หลายครั้งที่ชีวิตเราอยากบินขึ้นสูง
บินได้ไกลเหมือนนกเพื่อเห็น
เพื่อไปในที่ๆใจเราอยากไป
นั่นคือได้ไปใกล้สัมผัสกับพระเจ้าที่อยู่เบื้องบน ในเวลานั้น เราอาจกำลังเหนื่อย
เราอาจกำลังท้อใจ และเราก็ร้องเรียกให้พระองค์ช่วยเรา ในเวลาที่เหนื่อยที่สุด
และกำลังจะหมดหวังเราอาจสงสัยว่าพระองค์ได้ยินเสียงของเราหรือไม่
มีอยู่สองสิ่งที่เตือนใจผมเสมอเมื่อผมหมดกำลัง
เมื่อผมอยากหลุดพ้นจากพันธนาการ หลายครั้งที่ผมรู้ว่าผมช่วยตัวเองไม่ได้
เวลานั้นเป็นเวลาดีที่สุดที่ผมจะหาพระองค์และให้ผมปรับกระบวนทัศน์ใหม่ คืนวันศุกร์เป็นเวลานัดหมายกับพี่น้องหลายคนในโบสถ์ที่จะอธิษฐานกันยาวหลายๆชั่วโมง ผมได้รับการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณเมื่อได้เฝ้าพระองค์ร่วมกับคริสเตียนอื่นๆ
เราร้องเพลงนมัสการด้วยกัน
การร้องเพลงทำให้กำลังของเราคืนมา เราได้ใช้ใจของเราจดจ่ออยู่ที่กับคำสอนในพระคัมภีร์ เราได้แลกเปลี่ยนกันเล่าประสพการณ์
และปัญหาต่างที่พบ เวลานั้นมีปัญหานับร้อยปัญหาที่เราไร้ทางออก
ตั้งแต่ปัญหาของชาติบ้านเมืองไปจนกระทั่งปัญหาส่วนตัว
เราได้แต่อธิษฐานฝากไว้กับพระองค์ หลายชั่วโมงผ่านไปผมลืมปัญหาต่างๆของผมไปจนหมดสิ้น สิ่งที่ผมเคยรู้สึกว่าเป็นปัญหาใหญ่มาตลอดสัปดาห์มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป
เพราะผมมอบปัญหานั้นไว้กับพระองค์
ประสพการณ์ที่ผ่านมาสามสิบปีทำให้ผมรู้ว่าพระองค์ฟัง ผมรู้สึกว่าปัญหาของคนอื่นหนักหนาสาหัสยิ่งนัก
หากผมต้องเผชิญกับปัญหาเช่นนั้นผมจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร พระเจ้าคืนกำลังและสติต่อเมื่อผมปรับกระบวนทัศน์ในการมองปัญหาของผมเองมาสู่การเห็นใจและเข้าใจในความอ่อนแอของคนอื่นผ่านสายตาของพระองค์
สายตาของพระเจ้ามองมนุษย์เท่าเทียมกัน ไม่มีใครดีกว่าใครเพราะทุกคนเป็นคนบาป ทั้งคนดีมากดีน้อยพระเจ้าให้น้ำฝนของพระองค์ตกลงมาเท่าเทียมกัน “พระองค์ให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนชั่วและคนดี และส่งฝนให้ทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรม” พระองค์ทรงรักเราทุกคน
และอยากให้ทุกคนรักกันเหมือนอย่างที่พระองค์รักเรา ความรักของพระเจ้าเป็นอย่างไร ผมต้องไปยกเอาคำจำกัดความของความรักที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์มาไว้ตรงนี้ว่า
“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้
ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว
ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย
ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว
ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด
ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิดแต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ
ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่นและเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอและมีความหวังอยู่เสมอและทนต่อทุกอย่าง”
ทำให้ผมเข้าใจเคล็ดลับสำคัญของการไปร่วมอธิษฐานกับผู้อื่นอีกประการคือ
ผมกำลังลดความเห็นแก่ตัว
คิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเองให้น้อยลง ผมใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงนั้นคิดถึงคนอื่น ผมเห็นสิ่งมากมายที่ตัวเองได้ทำไปอย่างน่าละอาย ในทางกลับกันสิ่งดีที่ผมควรทำเพื่อคนอื่นผมกลับละเลยที่จะกระทำหรือเลือกที่จะทำกับคนเพียงบางคน พระคัมภีร์ไม่ได้สอนว่าให้ทำดีแล้วผมจะได้บุญจะได้ขึ้นสวรรค์
เพราะไม่มีใครรู้ว่าต้องทำบุญแค่ไหนผมถึงจะกลับบ้านที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ได้
และความดีที่เราทำก็ไม่มากเพียงพอที่จะเป็นใบเบิกทางให้เราข้ามฝั่งกลับไปถึงบ้านได้
แต่การทำดีเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนต้องทำต่างหาก สิ่งดีที่ทำถ้าเราไม่ได้ทำด้วยความรักก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
แต่การที่ได้ใส่ใจของเราเจือลงไปในทุกสิ่ง
ในการงาน ในครอบครัว
ย่อมทำให้เราทำงานอย่างสัตย์สุจริต อย่างเต็มกำลัง
อย่างเห็นใจและเข้าใจคนอื่น พระคัมภีร์จึงเตือนสติว่า
“แม้ข้าพเจ้าจะสละสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย
แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่”
ผมไม่สามารถที่จะอวดอ้างว่าผมดีแล้ว
ทำดีกว่าคนอื่น ผมขอยึดเอาพระคัมภีร์เป็นไม้บรรทัดมาตรฐานที่ผมกำลังบากบั่นไต่ระดับขึ้นไป วันนี้ ผมกำลังหัดแล่นเรือ
กำลังบากบั่นตัดข้ามทะเลของโลกนี้ไปให้ถึงฝั่งข้างโน้นเพื่อกลับบ้าน ผมอยากจะให้วันนี้ของผมดีกว่าเมื่อวานเพราะวันพรุ่งนี้อาจไม่มาถึงผม ท่ามกลางหมอกของโลกนี้ที่หนาทึบ
หลายคนอาจยังสนุกสนานอยู่
แต่สำหรับผมแล้ว ผมเห็นดวงไฟลิบๆที่ฝั่งโน้น ผมจะตั้งเข็มทิศความเชื่อมั่นที่หนักแน่นของผมให้ตรง,
มือผมจับหางเสือสำแดงความรักด้วยการประพฤติ
และให้พระเยซูเป็นต้นเรือของความหวังใจมุ่งหน้ากลับบ้าน ใจผมอยากเชิญชวนให้หลายคนให้ออกเดินทางไปด้วยกัน
(เนื้อเพลงขึ้นต้นด้วย
I am sailing แต่จบลงด้วย
We are sailing) แต่จะมีใครได้ยินหรือได้เห็นเช่นที่ผมเห็น......
I am sailing, I am sailing,
Home again ’cross the sea.
I am sailing,
stormy waters,
To be near You, to be free.
I am flying, I am flying,
Like a bird ’cross the sky.
I am
flying, passing high clouds,
To be with You, to be free.
Can You hear me, can You hear me
Thro the dark night,
far away,
I am dying, forever trying,
To be with You, who can say.
We are sailing, we are sailing,
Home again
’cross the sea.
We are sailing stormy waters,
To be near You, to be free.
Oh Lord, to be near You, to be free.
Oh Lord, to be near You, to be free,
Oh Lord, to be near You, to be free,
Oh Lord.
(Sailing ประพันธ์เนื้อร้องโดย
Gavin Sutherland ในชุด Atlantic crossing เมื่อ 6 กันยายน
1975 เป็นเพลงขึ้นลำดับหนึ่งของบิลบอร์ดติดต่อกัน
4 สัปดาห์ และปรากฏอยู่ในชาร์ตถึง
34 สัปดาห์)