จะเรียนหรือจะเล่น จะหัวเราะหรือจะร้องไห้
ปีแรกที่ผมมาอยู่ที่พระมงกุฏฯ
งานผมไม่มีความก้าวหน้าเลยจนผมแทบหมดกำลังใจ ผมแก้โครงร่างวิทยานิพนธ์อยู่หลายครั้ง
แต่ละครั้งที่แก้ดูเหมือนมันจะทำให้ผมห่างไกลความสำเร็จออกไปมากขึ้น ผมเทียบดูเนื้อหาของมันกับนักเรียนคนอื่นแล้วก็ได้แต่ถอนใจว่าเราต้องทำอะไรยากขนาดนั้นหรือ เหตุผลก็คือผมเป็นนักเรียนในสายวิชาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์
งานค้นคว้าผมต้องออกมาในเชิงลึกที่เป็นแนวคิดใหม่
ทฤษฎีใหม่ หากผมเป็นนักเรียนในสังกัดวิทยาศาสตร์ประยุกต์
ผมสามารถวิจัยในแนวราบเพียงพิสูจน์ว่าสามารถนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในงานนั้นได้ อย่างไรก็ตามก่อนจะปิดภาคฤดูร้อน
ผลการทดลองแรกของผมก็สำเร็จออกมาเป็นพวงใหญ่ให้ผมได้ชื่นชม
ดูเหมือนว่าการทดลองเพื่อให้พิสูจน์สมมติฐานที่ตั้งขึ้นไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่การที่จะพิสูจน์ว่าวิธีทดลองแบบที่นำมาใช้เพื่อพิสูจน์สมมติฐานเป็นวิธีที่เหมาะสมเชื่อถือได้เป็นเรื่องใหญ่ ผมเสียเวลากับการออกแบบการทดลองและทดสอบแบบอยู่สองปีเพียงเพื่อคำตอบที่ว่ามันนำมาใช้พิสูจน์สมมติฐานได้จริงเป็นสองปีที่ทรมานและบีบคั้นจิตใจ เป็นสองปีที่ใหญ่กว่าตัวเนื้อหาวิทยานิพนธ์เสียอีก
ผมใช้เวลาจากเดือนเป็นปีค่อยคลำไปเรื่อยๆ มันดูเหมือนไม่มีอะไรก้าวหน้าเลย ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเหนื่อย
แต่จะมีวันหนึ่งที่ผมใช้กุญแจถูกดอกไข วันนั้นจะเป็นวันที่ผมไขเปิดทะลุได้ตลอด ผมใช้เวลาอย่างยากเย็นที่จะค้นหากุญแจดอกต่อๆไป เผลอแผล็บเดียวผมผ่านมาเกือบห้าปีแล้ว
แต่ผมยังมีเนื้อหาที่ต้องทำอีกหนึ่งในสี่
ในช่วงสามปีนี้
ผมมีผู้อุปการะรายใหม่เนื่องจากโครงการที่สภากาชาดไทยปิดตัวลง ผมไปทำงานในห้องแล็บผสมเทียมเด็กหลอดแก้ว ผมทำงานได้เงินหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวอยู่สองปีก็ลาออกเพราะทนตรากตรำงานกลางคืนไม่ไหว หลายครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนคนจนมุม ผมเสียเวลามาห้าปีแล้วหากผมเรียนไม่จบจะเป็นอย่างไร ผมได้ข่าวจากพี่ผมอย่างสม่ำเสมอกับความเจ็บไข้ได้ป่วยของเขาในต่างแดน
ผมเคยร้องไห้อย่างคนที่หมดหนทาง
และนั่นเป็นจุดต่ำสุดของชีวิตที่ผมเคยเผชิญ แม้ว่าในภายหลังผมจะเจออะไรที่หนักหนาสาหัสกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว
แต่ผมก็เลิกกลัว เลิกร้องไห้และไม่หมดกำลังใจอีกเพราะผมผ่านจุดต่ำสุดของชีวิตมาแล้ว
เมื่อผมขึ้นปีหก ผมเลิกทำงาน ผมเหลือแล็บอีกเล็กๆน้อยที่ต้องเก็บและรวบรวมงานทั้งหมดเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ แม้ว่าผมจะทำงานไปด้วย
เรียนไปด้วย แต่มีความบันเทิงอย่างหนึ่งที่ผมไม่เคยทิ้งคือการร้องเพลง ยิ่งผมเครียดกับงาน
ผมยิ่งต้องการการปลดปล่อย และด้วยความบังเอิญเสียเหลือเกินที่ห้องแล็บผสมเทียมที่ผมทำงานอยู่อยู่หน้าบ้านท่านผู้หญิงพวงร้อย
สนิทวงศ์ ผมจึงมีเวลาแวะเวียนไปซ้อมเพลงที่นั่นอยู่เป็นประจำ
จากการร้องเพลงหนึ่งวง
ผมก็ขยายออกไปเป็นสองสามวงให้ผมมีงานแสดงไม่ขาดสาย วิทยานิพนธ์ปีสุดท้ายของผมแทบไม่ขยับไปไหนและหลายคนคิดว่าผมเลิกล้มการเรียนไปแล้ว
เพราะมีหน้าผมออกทีวีอยู่เสมอ
ภาคเรียนที่สิบสอง
ของนิสิตปีหก ปี 1995 ผมไม่มีเวลาเล่นอีกต่อไปแล้ว หากผมไม่ส่งและสอบวิทยานิพนธ์ภายใน
30 เมษายนในปีนั้น ผมทำได้เพียงลืมทุกเรื่องราว ลืมอดีต ลืมอนาคตแต่ให้เวลา
ความคิด จิตใจกับปัจจุบันทั้งหมดที่มี คงไม่มีอะไรยากไปกว่าการต่อสู้ดิ้นรนกับตัวเองอย่างสุดกำลังอีกแล้ว และผมคว้ามันไว้ได้ในนาทีสุดท้าย
สี่ปีที่พระมงกุฏ ผมได้เพื่อนมาสามคน บางคนอาจสงสัยว่าทำไมได้มาน้อยจัง ความจริงผมยังมีเพื่อนในที่ทำงาน
เพื่อนในวงร้องเพลง
แต่เพื่อนสามคนที่ว่านี่เป็นเพื่อนที่คบกันในยามยากแท้ของชีวิต จึงเป็นเพื่อนที่ได้หัวเราะกันดังยาวนานมาจนทุกวันนี้ อัญชลี อภิสิทธิ์
และยุภารักษ์
ส่วนน้องอื่นๆที่เรียนมาด้วยกัน
ส่วนใหญ่พากันไปจบปริญญาเอกจากที่ต่างๆ หลายคนเป็นอาจารย์
หลายคนเป็นนักวิจัย บางคนได้เป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ยอดเยี่ยม
คงมีแต่ผมคนเดียวที่ออกมาทำงานในภาคเอกชน